(จากสารคดี/ฉ.๓๑๕-พฤษภาคม๒๕๕๔/น.๑๕๕)
<<เครดิตของผู้เขียนเรื่องนี้แต่เดิมคือ lemac@yahoo.com และเว็บหนังสือพิมพ์ออนไลน์ www.dantri.com สิ่งที่ผมทำมีเพียงการแปลบทความในภาษาดั้งเดิมเป็นภาษา อังกฤษ ผมพยายามติดต่อผู้เขียนแต่อีเมล์ที่ให้ไว้บนเว็บไซต์ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อเรื่องราวนั้นน่าประทับใจ และผมได้รับบทเรียนอย่างมาก จึงตัดสินใจที่จะใช้สิทธิ์เผยแพร่บทความนี้ที่นี่(หมายถึง CNN iReport) เพื่อแบ่งปันความเยี่ยมยอดของคนในชาติอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น การแปลอิงจากบทความเดิมไม่มีการแต่งเติมเสริมเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น>>
เมื่อคืนนี้ ผมถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยหน่วยงานอาสาสมัครในการแจกจ่ายอาหารให้ แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ ในหมู่ผู้ที่เข้าคิวยาวรออยู่นั้น ผมสังเกตเห็นเด็กชายอายุประมาณ ๙ ขวบคนหนึ่ง ซึ่งใส่เพียงเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้น อากาศขณะนั้นหนาวเย็นมาก และเขากำลังยืนคอยอยู่ตอนท้ายแถว ผมเป็นห่วงว่าอาจจะไม่มีอาหารหลงเหลือพอเมื่อถึงคิวของเขา ผมจึงเดินไปเพื่อคุยกับเขา เขาเล่าให้ผมฟังว่า แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้นขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียน ในชั่วโมงพละศึกษา พ่อ ของเขาซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กันมาหาเขาที่โรงเรียน จากระเบียงบนชั้นสามของโรงเรียน เขามองเห็นคุณพ่อและรถของเขาถูกน้ำพัดหายไป คุณพ่อของเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อผมถามเขาถึงคุณแม่ เขาบอกผมว่าครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ริมทะเล ดังนั้นคุณแม่และน้อง ชายของเขาคงไม่สามารถหลบหนีได้ทัน เขาหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อเช็ดน้ำตาเมื่อถูกถามถึงญาติๆ ของเขา
ผมเห็นว่าเขาคงหนาวอยู่ จึงถอดเสื้อโคตตำรวจแล้วคลุมร่างเขาไว้ ขณะเดียวกับที่อาหารมื้อเย็นที่เหลือซุกอยู่ในกระเป๋าหล่นออกมา ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วส่งให้เขาพร้อมบอกว่า “น้าเป็นห่วงว่าอาจจะไม่มีอาหารเหลือเมื่อถึงคิวของเธอ นี่เป็นส่วนของน้า น้ากินไปแล้วหน่อยหนึ่ง เธอกินส่วนที่เหลือให้หมดเถอะ”เด็กน้อยยื่นมือมารับอาหาร แล้วค้อมตัวลงขอบคุณ ผมคิดว่าเขาคงรีบกินด้วยความหิวในทันที แต่…เปล่าเลย เขาถืออาหารชิ้นนั้น แล้วเดินตรงไปยังหัวแถวซึ่งมีคนคอยแจกอาหารอยู่ แล้ววางอาหารที่ผมให้เขาลงไปในกล่องอาหารที่กำลังได้รับการแจกจ่าย แล้วเขาก็เดินกลับมาเข้าแถวในคิวของเขา ผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้เสียล่ะ เขาตอบผมว่า “เพราะมีคนอีกมากที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวางไว้ที่นั่น ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้ทุกคน” เมื่อผมได้ฟังคำตอบ ผมต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อร้องไห้ โดยที่คนอื่นๆ จะได้มองไม่เห็น ผมรู้สึกตื้นตันใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายอายุ ๙ ขวบซึ่งยังเรียนอยู่เพียงชั้นประถมปีที่ ๓ จะสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ผมในเวลาคับขันเช่นนี้ บทเรียนแสนสะเทือนใจในความเสียสละ ประเทศใดที่มีเด็กอายุเพียง ๙ ขวบแต่เรียนรู้ที่จะอดทน ทนต่อความยากลำบาก และยังเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ คือประเทศที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ในประเทศนี้กำลังอยู่ในภาวะคับขันที่สุด แต่จะต้องฟื้นกลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้แน่นอน ทั้งนี้เพราะประชาชนผู้รู้จักเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นดังเช่นเด็กชายคนนี้
[ที่มา : Kwanpandin Institute for Contemplative learning เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ๒๐เมษายน ๒๕๕๔(http://www.facebook.com/note.php?note_id=10150276826038858)
แปลจาก “A touching lesson from a 9-year-old Japanese boy!” , http//ireport.cnn.com/docs/DOC-574017 ]