ลมแล้ง…โดย.Doctor_au

ลมแล้ง…ระบาย 

…ลมหนาวระบาย ป่าไม้กลายเปลี่ยนสี จากที่เคยเขียวขจี เปลี่ยนเป็นสีร้อนแรง
กลีบทองงิ้วราย เหลืองพรายคือดอกลมแล้ง ดอกเครือออนสีม่วงแดง กับตะวันสีทอง….
จรัล  มโนเพชร

 “เสลา”(อ่าน สะ-เหลา) กับ“อินทนิน” บานแล้ว ให้ความสบายตาใต้แสงอาทิตย์ร้อนๆ ที่แผดเผาบ้านเรือนและท้องถนนด้วยดอกสีม่วงละมุนบนต้นที่ยังให้ร่มเงา เห็นเสลาแล้วให้นึกถึง“ตะแบก”ในป่าคงจะผลิดอกบานแข่ง“ดอกเครือออน”และดอกไม้อีกหลายอย่างที่ทยอยกันบานหลังลมหนาวผ่านพ้น

ตามบ้านเรือนแว่วกลิ่นหอมอ่อนๆ ของ“ดอกมะม่วง”ที่ชูช่อใหญ่ก่อนจะโรย และร่วงไปเพราะเม็ดฝน..ฝนชะช่อมะม่วง พื้นบ้านบางที่ใช้เรียกฝนที่ตกตอนต้นปี เป็นฝนที่บอกถึงกาลเปลี่ยนฤดู จากหนาวๆ ร้อนๆ เป็นร้อนและร้อน ลมเหนือที่แอบพัดมาตั้งแต่ต้นปีปลุกดอกไม้สีแสดแดงให้บานเบ่งเต็มตาก็ยามนี้ “พวงแสด”สีแสดสดเป็นผืนตามริมรั้วหรือซุ้มศาลา ตัดสีม่วงของเสลาที่ออกก่อนจนต้องยอมแพ้ร่วงไป บนต้นไม้ใหญ่ที่ใบยังเขียวขจีมีลูกหัวกลมๆ มีปีกแดงๆ ร้อยแขวนอยู่เต็มต้น “ลูกยางนา”นับร้อยนับพันเตรียมบินจากต้นเดิมเพื่อมีที่ทางสำหรับเติบโตต่อไป

เวลานี้ตามชนบททางเหนือมีกิจกรรมรอบ“ต้นงิ้ว”ที่เซ็งแซ่ไปด้วยทั้งเสียงนกเสียงคน
ไม่ใช่รู้จักแต่ปีนต้นงิ้วตามที่คนยุคใหม่เขาหมั่นทำ แต่บนต้นสูงนั้น นกเอี้ยงสาลิกา เอี้ยงหงอน แม้แต่นกกิ้งโครง ส่งเสียงดังแย่งชิงเกสรดอกงิ้วที่แก่จัด จิกดอกงิ้วให้กระจุยกระจายลงดินบ้าง จิกตีกันเองบ้างเป็นอึกทึก ที่โคนต้น ชาว บ้านได้เก็บดอกงิ้วแก่ไปแยกเอาแต่เกสร ตากแห้งไว้ขายบ้าง ไว้กินเองบ้าง ทำน้ำเงี้ยวราดขนมจีนให้มีเกสรดอกงิ้วเยอะๆ ซี่โครงหมูสองสามชิ้นกับหมูสับในน้ำข้นๆ น่ากิน
ดอกไม้สีส้มแดงทั้งงิ้ว ทองหลาง ทองหลางป่า ทองกวาวที่บานยามนี้ เวลาบานบนต้นว่าดูสวยแล้ว เวลาที่ร่วงลงดินยังงามเป็นความทรงจำมากกว่าทิวต้นทองกวาว ทองหลางที่บานเต็มต้นแล้วค่อยๆ ร่วงทีละดอกสองดอกปูเป็นผืนพรมให้คนเป็นคู่ๆ เดินย่ำผ่านโดยไม่สนใจ  หรือให้ใครคนเดียวที่กำลังเหงาคอยเฝ้าดูมันร่วงหล่นไม่หยุดเหมือนไม่มีวันหมดต้นกระนั้น และทุกช่วงเวลานี้ของปีเป็นห้วงเวลาแห่งการจากลา นักเรียนจบการศึกษาชั้นของตน หลายคนจบและจากสถาบันที่ผูกพันเพื่อไปศึกษาระดับสูงขึ้น นิสิต นักศึกษาถึงคราวเรียนจบตามกำหนดเวลา การร่ำลา แยกจากกันในแต่ละปี มักมีฉากของฤดูแล้งอยู่เบื้องหลังแม้ใครที่พ้นวัยเรียนมานานแล้ว ถึงเวลาช่วงนี้ยังอดนึกถึงวันวานและเกิดอาการใจหายโดยไม่ทราบสาเหตุ

ผ่านเวลาของสีส้มแดงนี้ไป โทนสีของดอกไม้จะอ่อนลงเป็นสีเหลือง ที่เจิดจ้าดอกใหญ่กว่าใครอย่างฝ้ายคำหรือสุพรรณิกาทั้งเดี่ยวและซ้อนที่บานรออยู่นานแล้ว ตามด้วยเหลืองทุ่มเทแบบดอกเหลืองอินเดียที่ผลิดอกเต็มต้น ยอมทิ้งใบไม่ให้อยู่บดบังดอกสีสดใสรับแดดและแมลงผสมเกสร ซึ่งจะพบได้บ่อย ทางภาคเหนือ ส่วนเหลืองปรีดียาธรหรือชื่อเล่นวิทยาศาสตร์ว่า “ตาเบเหลือง” นั้น เหลืองยาวหลายกิโลเมตรเพราะมักปลูกอยู่ตามทางหลวงรอบกรุง

แต่เหลืองไหนจะหวานเท่าเหลืองดอกคูนหรือราชพฤกษ์ที่ผลิดอกเป็นช่อรวงระย้าอ่อนหวานแต่เข้มแข็งสู้กับฝุ่นดิน แดด และลมแล้ง… “ลมแล้ง”จึงเป็นอีกชื่อของดอกคูนที่บอกเวลาการออกดอก และเป็นการรับคำท้าของสายลมว่า…ยิ่งแล้ง..ยิ่งงาม เป็นความงาม อ่อนหวานที่ชโลมจิตใจอันห่อเหี่ยวแห้งแล้งของผู้คน ผ่อนปรนให้ทนรอเวลาแห่งสงกรานต์ที่คลายร้อน ยิ่งหัวสงกรานต์มีฝนใหญ่เติมน้ำไม่ให้ขาดช่วงนานเกินไป หากมองท้องฟ้าแล้วเห็นเมฆใหญ่ตั้งตรงเป็นแท่งเหมือนตึก ให้รู้กันว่าจะมีน้ำท่าลงมาเติมตุ่มอีกแล้ว แต่จงระวังหลังคาบ้านของตนให้ดีๆ
ฝนคะนองนี้อาจทำให้ดอกคูนกลีบช้ำ ร่วงพรู แต่ก็เสมือนหนึ่งเป็นมือสะกิดต้นหางนกยูง

ที่ยืนทิ้งใบมานับเดือนให้รู้ตัว เตรียมแตกตุ่มดอก หลังสงกรานต์เราจึงค่อยๆ เห็นสีแดงเข้มของดอกหางนกยูงมาอวดประชันกับสีเหลืองดอกคูนที่ยังแกร่งทน
ไม่เพียงเท่านี้.. ตามทุ่งนา ถ้าได้สูดหายใจลึกๆ คงได้กระสากลิ่นดอกกันเกราอยู่ปลายจมูก กันเกรายืนต้นสูงให้ดอกสีขาวเป็นพุ่มและเปลี่ยนเป็นเหลืองช้ำๆ ยามใกล้โรย ส่งกลิ่นหอมน้ำอบ อวลตลบตามท้องทุ่ง และถ้ายังไม่หยุดสูดกลิ่น จะได้กลิ่นหอมหวานของดอกพะยอมแว่วมาทีหลัง ที่มาถึงทีหลังก็เพราะ…พะยอมหอมไกล.. พะยอมก็ยังคงรักษาความเด่นของไม้ดอกเหลืองในยามแล้ง ด้วยกลีบประดับสีเหลืองนวลเต็มต้นแต่ขี้อายแอบซ่อนตัวบนต้นสูงลิบให้คนได้สัมผัสแต่กลิ่นไม่ยอมให้เห็นดอกโดยง่าย
หลบอยู่ในเรือนพุ่มเขียวขจีส่งแต่กลิ่นอบอวลเฉพาะตัวออกมาในยามแล้งก็ยังมีลำดวนและผองเพื่อนในวงศ์เดียวกันทั้งกระดังงา การเวก นมแมวที่ให้กลิ่นขนมอบที่เราคุ้นเคยแต่น้อยคนจะได้เคยเห็นหน้าตาดอกจริง
ออกจากบ้านเรือนและทุ่งนา ตามป่าเขายังมีไม้ดอกเหลืองอย่างปอหู ซ้อ ที่ต้นสูงขึ้นในป่าแล้งรกจนจะมองเห็นดอกได้ก็ต่อเมื่อมันร่วงลงดินเป็นหย่อมๆ ให้รับรู้เอาว่ามีต้นอยู่ตรงนั้น จะมีก็แต่ดอกมังตานกลีบขาว เกสรสีเหลืองกระจุกใหญ่ทำให้ทั้งดอกคล้ายไข่ดาว มังตานชอบขึ้นตามชายป่าดิบไม่ผลัดใบ จึงมองเห็นดอกได้จากที่ไกลเป็นพุ่มขาวนวลตามราวป่าเขียว
……………………………………………………………………………………………

แม้ยามร้อน แล้ง ธรรมชาติก็ยังงามเสมอ ช่วงเวลาที่โหดร้ายยังพอปลอบประโลมใจให้อดทนผ่านไปได้อีกคราว ไม่มีใครรู้ว่ามีกี่ชีวิตที่ไม่อาจผ่านความแห้งแล้งของปีไปพบฤดูฝนได้ ชีวิตที่ไม่สูญเปล่าเหล่านั้นได้สอนให้ชีวิตที่เหลือตระหนักในคุณค่าของตนและชีวิตอื่น เมื่อความแล้งร้ายกรายมาเยือน ไม่ว่าจะทารุณเพียงใด เมื่อทำได้แต่รอก็จงรอ รออย่างสงบนิ่ง ดุจเมล็ดพันธุ์พืชป่าเก็บตัวอยู่ในฝักแข็ง ไม่สะทกสะท้านสัตว์กัดแทะ ไม่มอดไหม้แม้ไฟป่าเผา เปลือกนอกยังคงปกป้องชีวิตภายในไว้ได้ รอเวลากระเทาะออกด้วยสายน้ำจากฟากฟ้า …แล้วชีวิตใหม่ภายในจึงเริ่มต้น…
..ดอกขะแยง..

เพื่มเติม
เพลงเพื่อชีวิต… บทเพลงเบาๆ ที่ไม่เคยเงียบหาย… (๑) 

 

ปิดการแสดงความเห็น