ฉันขอกล่าว แทนบรรดาต้นไม้ ดิน น้ำ เมฆ ฟ้า ดอกไม้ และสิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลกใบนี้ โลกที่บรรพบุรุษของฉันช่วยกันสร้าง ก่อนจะมีเอเลี่ยนที่เรียกตัวเองว่า มนุษย์ เข้ามาทำลาย อีกไม่นาน…ฉันและเหล่าพี่น้องคงหมดเรี่ยวแรงช่วยเหลือโลกใบนี้แล้ว วันนี้ ฉันจึงอยากจะถ่ายทอดความทุกข์ทนที่พวกเราแบกอยู่ให้รับรู้กันบ้าง
บรรพบุรุษของฉัน เป็นหนึ่งในผู้ให้กำเนิดโลก เราคือ น้ำ พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่กินพื้นที่ถึง สามในสี่ของโลก เราสร้างต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์สารพัน และสรรพสิ่งทั้งมวลบนโลกใบนี้ ดั่งบทกวีที่แสดงให้ท่านเห็นว่าบรรพบุรุษของฉันสรรค์สร้างโลกใบนี้ได้งาม เพียงใด…
ฟ้ากำลังทอฝันปั่นฝ้ายเมฆ ลมโยกเยกเย้ายอดไผ่ไหวทั้งผืน
ฟ้ากำลังร้องเพลงครื้นเครงครืน ดอกฝนหมื่นแสนล้านจะบานแล้ว
ใบหญ้าเรียวเขียวชอุ่มทอคลุมพื้น ดินพราวผืนเพชรพร่างน้ำค้างแก้ว
กระเพื่อมพรายผิวน้ำงามเพริศแพร้ว ลมพัดแผ่วมาพร้อมหอมดอกไม้
ธรรมชาติไม่อาจขาดความรัก โลกนี้จึงงามนักกว่าโลกไหน
ฟ้าโอบดิน ดินกอดน้ำ น้ำจูบไพร ลมลูบไล้ดอกไม้โลมโคมตะวัน
(ส่วนหนึ่งของ บทกวี “ธรรมชาติที่รัก” ประพันธ์โดย ลำภา มัคศรีพงษ์
เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๐)
ใช่แล้ว ก่อนที่เหตุการณ์วิปโยคทั้งหลายจะสร้างความเดือดร้อนแก่เหล่าชาวโลกไม่หยุดหย่อน โลกเคยสวยถึงเพียงนี้ ดั่งบทกวีพรรณนา แต่เพียง “ความเจริญ” คำเดียว ที่ถูกยัดลงในโปรแกรมความคิดของมนุษย์ในโลกใหม่ที่ชื่อว่า โลกาภิวัตน์ ภาพความงามเหล่านั้นจึงถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ เหลือเพียงภาพฝัน
ป่าถูกรุกราน ราวกับเป็นศัตรูของมนุษย์ก็มิปาน ศัตรูที่ไม่อาจปกป้องตัวเองหรือตอบโต้การบุกรุกของอีกฝ่ายได้เลย ไม้งามประดับไพรต้นแล้วต้นเล่า ถูกฟาดฟันอย่างไม่ปรานีด้วยคมเลื่อย ไม่เหลือแม้แต่หญ้าคลุมความชุ่มชื้นให้แผ่นดิน ไฟแห่งความโลภถาโถมเข้าแผดเผาป่า สัตว์น้อยใหญ่ถูกไล่ล่าเถือเนื้อหนัง ดอกไม้ไร้ความหวังจะผลิบาน
ผืนดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ โดนสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ แปรเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ส่วนตน เจ้าเขื่อนวายร้ายตัวทำลายระบบนิเวศผุดขึ้นราวดอกเห็ด น้ำมหาศาลกลืนกินพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ สร้างบาดแผลลึกกลางป่าใหญ่
มนุษย์หลงระเริงความเจริญ จนหลงลืมการทวงคืนจากธรรมชาติเสียสิ้น ป่าไม้ ดิน น้ำ สัตว์ป่า ถูกผลาญทำลายอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ ภูเขาทั้งลูกที่เคยตั้งตระหง่านน่าเกรงขาม บัดนี้กลายเป็นเพียงราชสีห์ที่ไร้เขี้ยวเล็บ กลายเป็นเพียงภูเขาหัวโล้นสำหรับการปลูกพืชเพื่อการบริโภคที่ไม่เคยพอ ชุมชนรุกล้ำพื้นที่ป่าและแสวงหาผลประโยชน์มากเท่าที่จะมากได้ คูคลองถูกถมทำถนน ทางน้ำถูกทับด้วยทางรถ ถนนทุกเส้นชอนไชเข้าไปในป่าเหมือนหนอนที่คอยกัดกินทำลายพืช ที่ใดที่รถเข้าถึงมากเท่าไหร่ ธรรมชาติยิ่งถูกผลาญมากขึ้นเท่านั้น
ยัง! มนุษย์ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งยื้อแย่งกันตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อการใช้สอยอุปโภคบริโภคบ้าง เพื่อการขนส่งบ้าง ฉันและบรรดาพี่น้องถูกโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้รุมทึ้งอย่างกระหาย เมื่อเราหมดค่ากลายเป็นน้ำสีดำน่าขยะแขยง เอเลี่ยนเหล่านั้นก็ทิ้งเราอย่างไม่แยแส ซ้ำร้ายยังให้เราทำร้ายพี่น้องกันเอง จากน้ำเย็นใสก็ปล่อยน้ำขุ่นข้นคลั่กจากโรงงานลงไปโดยไม่ผ่านการบำบัด
สายน้ำถูกทำให้พิกลพิการ น้ำใสไหลเย็นจากป่าค่อยๆ ถูกทำลาย คูคลองที่เคยรินไหลลัดเลาะดั่งเส้นเลือดของแผ่นดิน กลับถูกถมเป็นพื้นที่ปลูกบ้านจัดสรรเพื่อรองรับจำนวนมนุษย์ที่มากขึ้นทุกที มนุษย์ยิ่งกินยิ่งใช้ โรงงานต่างๆ ก็ต้องเร่งผลิตมากขึ้นให้ทันและเพียงพอต่อความต้องการ แต่รางวัลที่มนุษย์ให้คืนแก่เราคือ ขยะ ขยะ และขยะ เพิ่มพูนทับทวีจนทางน้ำตื้นเขิน ไร้ที่อยู่ ไร้ทางไป เส้นเลือดของแผ่นดินตีบตัน
ท่านคิดว่าธรรมชาติสมควรหรือไม่ ที่ลงโทษมนุษย์ให้ประสบภัยดังที่เป็นอยู่ “น้ำแล้งท่านก็ก่นด่าฟ้าฝน น้ำล้นหลากท่วมก็ก่นด่าโชคชะตาและเทพยดา”
ลองถามตัวท่านดูเถิดว่า ธรรมชาติวิปโยคถึงเพียงนี้ เกิดจากผู้สร้างโลกอย่างฉัน หรือมนุษย์ เอเลี่ยนตัวทำลายกันแน่?
จดหมายถึงเอเลี่ยน โดย ‘Albatross’