แมงกับแมลง โดย นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว …

[หมายเหตุ – บุก’ป่า’หนังสือไปอ่านเรื่อง “แมงกับแมลง” ของคุณนิพัทธ์พร  เพ็งแก้ว แล้วได้ข้อคิดความเห็น ความรู้อันลึกซึ้งอย่างน่าทึ่ง จึงนำมาแบ่งปันภูมิปัญญาให้’รักษ์เขาใหญ่’ได้อ่านกัน]

แมงกั
บแมลง… 
‘โดย’ นิพัทธ์พร  เพ็งแก้ว 
(ถึงอย่างไรก็อยู่กันมาได้ : ๑๑๓-๑๒๑)
news_img_14293_1เอียด
          เรามักถูกสอนกันมาตั้งแต่เด็กว่า  แมงกับแมลงนั้นต่างกัน  แมงมี ๘ ขา ส่วนแมลงมี ๖ ขา หลายคนเชื่อเช่นนั้นโดยไม่เคยสงสัยว่าคนไทยแต่เดิม ได้เคยแบ่งแยกแมงกับแมลงด้วยจำนวนขาของมันจริงหรือไม่ จนแม้คอลัมน์โลกธรรมชาติจากนิตยสาร สารคดี ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๕๙ ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ้งเป็นข้อเขียนของคุณเกรียงไกร  สุวรรณภักดิ์  ก็ได้พยายามอธิบายว่า ควรจะเรียก“แมลง”หรือ“แมง”ดี  ด้วยการเปรียบเทียบกับตำราฝรั่ง  และหลังจากที่คุณเกรียงไกรได้ให้ความรู้จัดจำแนกสัตว์เหล่านี้ทางชีววิทยาไว้อย่างละเอียดแล้ว  คุณเกรียงไกรก็ได้ให้ข้อสรุปไว้ในท้ายบทความว่า “การที่พวกสัตว์ในไฟลัมย่อยยูริเรเมีย(มี ๖ ขา) เป็นตัวแทนของแมลง  และสัตว์ที่อยู่ในไฟลัมย่อยเชลลิซีเรตา(มี ๘ ขา) เป็นตัวแทนของสัตว์ในกลุ่มแมง  อาจเพราะสัตว์ในสองกลุ่มนี้มีความใกล้ชิดกับวิถีชีวิตคนไทยก็ว่าได้  ก็เลยพูดถึงแต่ “แมลง”และ“แมง” เท่านั้น
I-am-hearเอียด         พิจารณาแล้ว  เหมือนกับคุณเกรียงไกรพยายามจะเสนอว่าคนไทยมีระเบียบคิดเช่นเดียวกับฝรั่ง  คือมีการจัดแบ่งกลุ่มแบ่งแยกสัตว์ในไฟลัมอาร์โทร์โพดาออกเป็นกลุ่มๆ  ง่ายที่สุดคือแบ่งเป็นกลุ่ม “แมลง”ที่มี ๖ ขา และ “แมง”ที่มี ๘ ขา  และที่แบ่งได้แค่ ๒ กลุ่มใหญ่นี้อาจเพราะสัตว์ในสองกลุ่มมีความใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของคนไทย
          อันที่จริงประเด็นที่คุณเกรียงไกรเสนอมานี้น่าสนใจมาก  เพราะได้เข้าไปแตะต้องในส่วนของวิธีคิดระหว่างคนไทยกับตะวันตกโดยตรงว่า มีระเบียบวิธีคิดเดียวกัน  สามารถใช้กรอบแบบตะวันตกมาสวมทับให้สามารถเข้าใจองค์ความรู้ของไทยได้อย่างชัดแจ้ง  ว่าง่ายๆ สิ่งที่คุณเกรียงไกรเสนอก็คือ  คนไทยคิด(ได้)แบบฝรั่งจึงมีหลักฐานในการเรียกชื่อแบ่งแยกให้มีทั้งแมงและแมลง
           พักเรื่องวิธีคิดดังกล่าวไว้ชั่วคราวนะคะ  มาว่าเรื่อง “แมง” และ “แมลง” ก่อนดีกว่า
           คำว่าแมงและแมลงนี้  นักเรียนทางภาษาศาสตร์จะรู้จักกัน เพราะจะถูกยกตัวอย่างการแยกเสียงของเสียงควบ“มล”  เสียง“มล”นี้เชื่อว่าเป็นเสียงดั้งเดิมของคนพูดภาษาตระกูลไท-ลาว  ตัวอย่างเก่าแก่ในภาษาเขียนที่ตกทอดมาก็คือคำว่า “มลาย”,“มล้าง”,“เมล็ด”,“แมลง” ฯลฯ
IMG_8566            แต่เนื่องจากเสียง“มล”นี้  ในบางถิ่นอาจจะไม่สะดวกในการออกเสียง(ซึ่งมีหลายเหตุผลมากทั้งทางสังคม การหยิบยืมเสียงจากภาษาของชนเผ่าใกล้เคียง การกลายเสียง เสียงหนักเบาของพยัญชนะและสระที่มาประกอบในพยางค์ต่อไป ฯลฯ)  การแยกเสียงจึงเกิดขึ้น บางถิ่นเก็บเสียง“ม”เอาไว้ บางถิ่นเก็บเสียง“ล”เอาไว้ และบางถิ่นก็เก็บไว้ทั้ง“ม”และ“ล”เป็นเสียงควบ“มล” ตัวอย่างเช่น
              ฟ้า“แมลบ” บางถิ่นออกเสียงเป็น ฟ้าแมบ บางถิ่นเป็น ฟ้าแลบ
              ตัว“เมล็น” บางถิ่นออกเสียงเป็น ตัวเม็น บางถิ่นเป็น ตัวเล็น
              มล้าง เมื่อแยกเสียงจะมีทั้ง ม้าง และล้าง  ซึ่งก็มีความหมายเดียวกัน  คำว่า“แมลง”ก็เช่นเดียวกันกับเหตุผลข้างต้น เราจึงมีทั้ง“แมลง” และ“แมง”
 IMG_6846            ซึ่งการแยกเสียงตามเหตุผลทางภาษา  มิใช่เกิดเพราะการนับจำนวน“ขา” ของสัตว์เหล่านั้น
             สมัยยังเรียนวิชาภาษาศาสตร์ดิฉันเคยตรวจสอบคำว่า“แมลง” อยู่บ้างเหมือนกัน  เคยถามพ่อซึ่งเป็นคนพัทลุงว่า  ภาษาถิ่นใต้มีคำว่า“แมลง”บ้างไหม คำตอบคือไม่มี มีแต่คำว่า“แมง”เท่านั้น
             นั่นคงไม่ได้หมายความว่าคนใต้นับจำนวนขาแมงหรือแมลงไม่เป็น แต่คงเพราะเขาไม่สนใจจะนับมากกว่า  เพราะการไปนั่งนับขาแมงหรือแมลงอยู่ มันไม่ให้มรรคผลอะไรกับชีวิต  สาระของการหาอยู่หากินอยู่ตรงที่เขารู้จักธรรมชาติของมันมากแค่ไหน ว่าจะชุกชุมในฤดูกาลใด อยู่ที่ต้นไม้อะไร  แมงชนิดไหนบ่งบอกถึงการแตกดอกออกผลของต้นยา หรือพืชบางประเภท ฯลฯ  นั่นคือ“สาระ”ของชีวิตเขา  ไม่ใช่จำนวนขาของมัน  เขาจึงเรียกสัตว์ประเภทนี้รวมๆ ไปว่า“แมง”
              เสียง“มล”นี้คนใต้บางถิ่นเก็บไว้แต่เสียง“ม”  แต่ในบางถิ่นบางคำก็เก็บไว้แต่เสียง“ล” ดังเช่นการเรียกมะม่วงหิมพานต์ที่มีเม็ดโผล่มานอกลูกว่าลูก“เล็ดล่อ”
              ซึ่งก็คือผลไม้ที่มี“เมล็ด” ออกมา“โผล่”  ล่อลูกตาอยู่นอกลูกนั่นเอง
แมลงป่อง-ฃ              กลับมาเรื่องวิธีคิดของคนไทยกับฝรั่งหน่อยนะคะ  ตัวอย่างข้างต้น คงจะพอทำให้มองเห็นแล้วว่า  ไทยกับตะวันตกมีวิธีคิดวิธีอธิบายธรรมชาติรอบตัวต่างกัน  อยู่บนจุดยืนที่ต่างกัน  เรื่องของคำว่า“แมง”และ “แมลง”  ซึ่งแบ่งแยกกันเพราะเหตุผลทางภาษา  จึงไม่อาจอธิบายภายใต้กรอบความคิดของฝรั่งได้  แต่คำ ถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วทำไมคนไทยจึงไม่จัดอนุกรมวิธานของสัตว์-พืช ฯลฯ  อย่างละเอียดแบบที่ฝรั่งทำ  คนไทยคิดเช่นนั้นไม่เป็นหรือ และเพราะสาเหตุอะไรคนไทยถึงไม่นำเอาจำนวนขาของแมลงมาเป็นจุด สำคัญในการแบ่งแยกกลุ่มของสัตว์ประเภทนี้?
Rames -  (107)             ก่อนจะพยายามหาคำตอบตรงนี้  มีตัวอย่างหนึ่งที่อยากบอกเล่าให้ฟัง เป็นตัวอย่างทางภาษาศาสตร์ที่สามารถอธิบายวิธีคิดของคนไทยได้เป็นอย่างดี  ในชั้นเรียนวิชา Northern Thai Inscriptions ครั้งหนึ่ง  ดิฉันจำได้ว่า ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้บรรยายให้พวกเราฟังว่า  คำว่า“จิ้ง”กับ“กิ้ง” มีความหมายใกล้เคียงกัน  คือใช้เรียกสัตว์ประเภทที่มีอาการคลานไปกับพื้น  เราจึงมีทั้งRames -  (88)จิ้งหรีด จิ้งจก จิ้งเหลน กิ้งก่า กิ้งกือ
Iประคำฤๅษี            สนุกแน่ล่ะค่ะถ้าเอากรอบแบบฝรั่งมามอง  ดังที่คุณกรียงไกรพยายามทำกับแมงและแมลง  เพราะไอ้ตัวกิ้งๆ จิ้งๆ เหล่านั้นมันเล่นข้ามไฟลัมกันมั่วไปหมด
            แต่ไอ้ตัวกิ้งๆ จิ้งๆ นี่แหละ  เป็นหลักฐานให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไทยกับฝรั่งมอง“เห็น”ในสิ่งต่างกัน
           ที่ดิฉันเน้นคำว่า“อาการ” ในข้อความข้างต้นก็เพราะต้องการย้ำให้เห็นว่าจุดนี้แหละที่ทำให้วิธีคิดของไทยแตกต่างจากฝรั่ง  คนไทยให้ความสำคัญกับการ“เห็น”ในอาการ  แต่ฝรั่งให้ความสำคัญกับการ“เห็น” ในสรีระทางกายภาพ  ซึ่งทั้งสองลักษณะนี้ใช้เครื่องมือในการเห็นต่างกัน  ฝ่ายหนึ่งใช้ความเข้าใจบนพื้นฐานทางนามธรรม  อีกฝ่ายใช้ความเข้าใจบนพื้นฐานของอายตนะที่สัมผัสได้  สิ่งที่เห็นจึงแตกต่างกัน  การมองเห็นในสิ่งต่างกันนี้สำคัญมาก  เพราะจะทำให้กระบวนชีวิต ความคิดและการกระทำในโลกทัศน์แบบไทยและฝรั่งต่างกันไปด้วย
 IMG_7545           อีกตัวอย่างที่จะทำให้มองเห็นชัดเจนขึ้นก็คือ  ก่อนรับอิทธิพลตะวันตกเราจะเห็นได้ว่า จิตรกรรมไทยประเพณีนั้น ให้ความสำคัญกับเส้นสาย ช่องไฟ  เป็นภาพสองมิติ มีเฉพาะกว้างและยาว  ไม่ให้ความสำคัญกับแสงเงา ไม่มีความลึก ไม่มีลักษณะ Perspective  ผู้คนในจิตรกรรมมีร่างผิดส่วนหัวโต  แขนขาบิดโค้งผิดรูป ไม่ตรงตามกายวิภาค คนจะอยู่ตรงไหนตัวโตเท่ากันหมด ไม่มีหรอกว่าคนอยู่ไกลตัวเล็ก อยู่ใกล้ตัวใหญ่  มีแต่ยืนนั่งคับบ้านคับวัง มองดูผิดปกติไปหมด
            ดิฉันเคยถามช่างทองร่วง  เอมโอษฐ์ ครูช่างพื้นบ้านเพชรบุรี การศึกษาในระบบเพียงแค่ชั้น ป. ๔ ว่า ทำไมจิตรกรรมไทยถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมช่างไทยไม่เขียนให้เหมือนตาเห็นอย่างแนว Perspective แบบที่ฝรั่งทำ
IMG_2307           ครูตอบว่า เพราะช่างไทยท่านเขียน“ความจริง”ที่ใจสัมผัส  คนจะอยู่บนเขาหรืออยู่ในบ้านตัวมันก็เท่ากัน อยู่ตรงไหนคนก็ตัวเท่าคนไม่ได้เปลี่ยนขนาดลงไปเล็กเท่ามดสักกะหน่อย
          ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ  ครูช่างท่านถ่ายทอด“ความเป็นคน”ลงในภาพเขียน  ซึ่งคำตอบของช่างพื้นบ้านนี้ก็ตรงกับที่ อ.โกวิท  เอนกชัยหรือท่านเขมานันทะเคยให้อรรถาธิบายไว้ว่า  แม้จะเขียนรูปน้ำที่อยู่ในขันน้ำหรืออ่าง  ช่างไทยก็ยังเขียนเป็นเส้นคล้ายคลื่นล้อกันไป แทนสัญลักษณ์ของธาตุน้ำ(อาโปธาตุ)อันเลื่อนไหล เอิบอาบเซิบซาบจากความรู้สึกสัมผัสอาการของสิ่งนั้นๆ ไม่เพียงรูปที่ตาเห็นได้เท่านั้น
           “ความจริง”ที่ช่างไทยมองเห็น  และน่าจะเป็น“ความจริง”ที่คนร่วมสังคมยุคสมัยเดียวกันมองเห็น  จึงน่าจะเป็นความจริงซึ่งมีลักษณะ“ไม่เพียงรูปที่ตาเห็นได้”เท่านั้น  ซึ่งจุดนี้เองทำให้คนไทยไม่เคยแบ่งแมงกับแมลง ด้วยกรอบความคิดแบบไฟลั่มต่างๆ  แต่แบ่งไอ้ตัวกิ้งๆ จิ้งๆ เป็นพวกที่มี“อาการ”คลานไปกับพื้น
 IMG_9613          นั่นคือคนไทยไม่น่าจะให้ความสนใจกับสรีระทางกายภาพในการจำแนกสิ่งต่างๆ ออกจากกันเท่าใดนัก  เพราะบรรพชนไทยท่านคงได้เรียนรู้ถึง“มายาของผัสสะ”  จนทำให้ความจริงในทัศนะของท่านพ้นไปจากเรื่องเหล่านี้  จึงแม้ตาจะเห็นต้นไม้ในที่ห่างไกลเล็กเท่ามด ท่านก็ยังไม่เขียนลงไปในงานจิตรกรรม  เพราะท่านรู้อยู่เต็มอกว่านั่นเป็นมายาของดวงตา
            ที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งสำหรับแมงและแมลงที่ไม่อาจแยกกันได้ด้วยจำนวนขาก็คือ  การมานั่งนับขานับตีนของมันไม่ใช่สาระของชีวิต จะนับไปเพื่อประโยชน์อะไร  ดิฉันมาตระหนักตรงนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการพยายามหาองค์ความรู้เรื่องดวงดาวของชาวบ้านไทย ว่าดาวมากมายเต็มฟ้า  แต่ทำไมคนไทยถึงเรียกชื่อกันอยู่ไม่กี่ดวงไม่กี่กลุ่ม ซ้ำซากไปมาแค่ ดาวว่าว ดาวไถ ดาวช้าง ดาวจระเข้ ดาวคันชั่ง ดาวลูกไก่ ดาวโลง ดาวกา  นี่เอาเฉพาะที่ชาวบ้านไทยเรียกกันจริงๆ  เมื่อตรวจสอบดูถึงได้รู้ว่า เขาดูเฉพาะดาวที่มีประโยชน์กับการทำนา การเดินเรือ การเดินป่า การปล้น  ที่เหลือนอกนั้นหากไม่เกี่ยวพันกับปัจจัยอื่นๆ แล้ว  เขาไม่มีแม้แต่ชื่อเรียกเฉพาะลงไปด้วยซ้ำ  ไอ้ที่จะมาตั้งชื่อทุกกลุ่มดาวเหมือนฝรั่งนั้น ไม่ใช่วิสัยของชาวบ้านไทย เพราะเขาไม่ได้เฉพาะดูดาว แต่ดูจากลักษณะที่ดาวสัมพันธ์กับธรรมชาติแวดล้อมอื่นๆ ด้วย
  DSCF5623         กลับมาที่แมงและแมลง  แม้คนไทยจะไม่นำสรีระหรือนำจำนวนขามาแบ่งแยกประเภทของสัตว์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยมิได้สังเกตตีนสัตว์  การแกะรอยของครูพรานรุ่นเก่าคงเป็นตัวอย่างได้ดี ท่านรู้จักตีนสัตว์ในมิติที่สัมพันธ์กับธรรมชาติของสัตว์แต่ละชนิดอย่างลึกซึ้ง  นึกออกได้ถึงคำกลอนกลบท“เสือซ่อนเล็บ” ที่ไม่เคยมีใครถอดได้มาเป็นร้อยปี  จนวันหนึ่งเมื่อประมาณเกือบยี่สิบปีก่อน ดิฉันจำได้ว่า พ่อจับแมวที่บ้านมาวางบนโต๊ะ  หงายตีนมันดูลักษณะการเรียงตัวของเล็บทั้งเวลาเหยียดและเวลางุ้มเข้า  สังเกตลักษณะอาการ“ซ่อนเล็บ”ของแมว  แล้ววาดเป็นลายเส้นคร่อมลงไปบนกลอนกลบท  ทีนี้สามารถถอดกลบทได้ในทันที  ด้วยวิธีเข้าใจให้ได้ว่า“เสือซ่อนเล็บ”คืออะไร  ครูเก่าท่านเคยมีความรู้ความเข้าใจอย่างไรจึงสามารถซ่อนคำตอบไว้ได้นานนัก  และเมื่อกลับไปดูตีนแมวอย่างละเอียดด้วยดวงตาแบบที่คนโบราณท่านเคยมองไว้  คำตอบก็แงะออกมาได้จากนังเหมียวข้างตัวนี่เอง
           ซึ่งความเข้าใจในตีนดังลักษณะนี้ก็มิได้เกี่ยวเนื่องกับการนับจำนวนขาเพื่อจะมาใช้แบ่งประเภทสัตว์อีกนั่นแหละ  คนไทยมองเห็นตีนสัตว์เช่นเดียวกับที่ฝรั่งเห็น  แต่เห็นกันคนละแบบ คนละมิติเท่านั้น
IMG_2007          ที่พอจะเกี่ยวกับจำนวนตีนอยู่บ้าง  ก็คงเป็นการแบ่งสัตว์เป็นจตุบาท ทวิบาท นั่นก็คือมากที่สุดที่คนไทยจะใช้จำนวนตีนมาแบ่งเป็นเนื้อกับนก  แต่ก็ไม่ได้จำแนกลงไปอย่างละเอียดมากกว่านี้  ไม่มีการศึกษาชำแหละสรีระสัตว์เพื่อจัดกลุ่มอย่างละเอียดยิบย่อยแบบศาสตร์ทางชีววิทยาของตะวันตก  ก็เพราะสาเหตุต่างๆ ที่กล่าวมา คือการเห็นในสิ่งที่ต่างกัน  และสาระของชีวิตที่ต่างกัน
           ดิฉันพยายามนึกถึงตัวอย่างอื่นเกี่ยวกับแมลงในวรรณคดีไทยว่าเคยมีการพยายามนับตีนมันหรือไม่ ก็นึกไม่ออกเอาเลย  เคยเรียนสมัยเด็กๆ   …ประเภท ตัวเนี่ยงนิลดำมะละกา  นั่นก็ไม่เกี่ยวกับแข้งขาอะไรของมัน  ส่วนอีกเรื่องคือระเด่นลันได มีเอ่ยเอาไว้ว่า …เปิดผ้าหาเล็นกันวุ่นไป
           นั่นก็ไม่ได้เปิดผ้าหาเพื่อนับตีนตัวเล็นกันหรอก  แต่คงหวังจะเปิดผ้าเพื่อทำอย่างอื่นเสียมากกว่า!
 kคางคก         ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นนี้  ดิฉันไม่กล้าหาญที่จะบอกว่ารู้จักวิธีคิดแบบไทย  เพียงแต่ว่าในการสำรวจเก็บข้อมูลที่ได้พบ วรรณคดีที่อ่าน ภาพจิตรกรรมที่ได้เห็น และครูบาอาจารย์ที่เคยไต่ถามล้วนให้คำตอบอันโน้มนำมาในแนวทางนี้  ความแตกต่างของ“แมง”และ“แมลง” จึงเป็นเรื่องเหตุผลทางภาษาศาสตร์ ที่เชื่อม โยงให้เห็นความแตกต่างของวิธีคิดระหว่างไทยกับตะวันตกได้เป็นอย่างดี.

ปิดการแสดงความเห็น