หมายเหตุ : ในปาฐกถาเพื่อรำลึกถึงสืบ นาคะเสถียรนี้ เป็นสิ่งที่นักอนุรักษ์ และ”คน”ทุกคนควรจะได้’ฟัง-อ่าน’ พินิจพิจารณา และใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง–เพื่อใช้เป็นแนวทางการอนุรักษ์ธรรมชาติ…ต่อไป-“รักษ์เขาใหญ่“
(ต่อ…)
คำถามมีอยู่แล้วว่าเราจะทำอย่างไรกันดี ในเมื่อรู้ชัดอยู่แล้วว่าโลกร้อนเพราะน้ำมือมนุษย์ โลกร้อนเพราะการผลิตการค้าเพื่อกำไรสูงสุด โลกร้อนเพราะการบริโภคที่ล้นเกิน
ตามความเห็นของผม คำตอบที่เหมือนจะเป็นกำปั้นทุบดิน แต่ตรงคำถามที่สุดคือ เราต้องรีบเปลี่ยนทิศทางการใช้ชีวิต ซึ่งมีนัยยะถึงขั้นเปลี่ยนแบบแผนอารยธรรม
พูดสั้นๆ ง่ายๆ คือเราต้องรีบถอนอุปาทานของลัทธิบริโภคนิยมให้ทันเวลา
แน่ละ ในปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ได้ทำให้ลัทธิบริโภคนิยมไม่ได้จำกัดตัวอยู่ในประเทศที่มั่งคั่งเท่านั้น หากยังลุกลามราวไฟบรรลัยกัลป์อยู่ในประเทศโลกที่สามอย่างประเทศไทยด้วย มันคือกระบวนการที่จะดึงเงินออกจากมือของประชากรส่วนน้อยที่มีรายได้ค่อนข้างสูงไปสู่กลุ่มทุนใหญ่ซึ่งประกอบด้วยคนแค่หยิบมือเดียวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สภาพดังกล่าวเริ่มต้นในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ จากนั้นภายในเวลาไม่นาน ค่านิยมเรื่องการใช้ชีวิตอย่างสมถะสำรวม หรือกินอยู่อย่างมัธยัสถ์ นุ่งเจียมห่มเจียมก็ได้ถูกทำลายล้างลงอย่างสิ้นเชิง และบริโภคนิยมได้กลายเป็นวิถีชีวิตหลักของผู้คนที่มีอำนาจซื้อในประเทศนี้ ในปัจจุบัน เราอาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมแบบ“เบื่อก็ซื้อใหม่ พอใจก็ซื้ออีก”ได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว
แต่ก็อีกนั่นแหละ คนเราจะใช้ชีวิตเช่นนั้นได้จะต้องประกอบสภาพจิตที่พร่ามัวอย่างน้อย ๓ เรื่อง คือหนึ่ง ลืมไปว่าชีวิตเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวและต้องการความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากกว่าการเสพย์สุขสำราญไปวันๆ สอง ลืมไปว่ายังมีเพื่อนมนุษย์อีกเป็นจำนวนมากที่ลำบากยากแค้นและต้องการการแบ่งปันปัจจัยดำรงชีพ และสาม ลืมไปว่าธรรมชาติมีขีดจำกัดในการรองรับความต้องการของมนุษย์ และการเบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไปจะส่งผลร้ายกลับมา
ตามความเข้าใจของผม ความพร่ามัวทางจิตวิญญาณเช่นนี้ล้วนมีรากฐานอยู่ที่อุปาทานเรื่อง‘ตัวกูของกู’ …มีรากเหง้าอยู่ที่การยึดติดในอีโก้(Ego)หรืออัตตาตัวตน
เพราะคิดว่าตัวเองมีอยู่จึงบังเกิดความปรารถนาสารพัดอย่าง เพื่อปรุงแต่งสิ่งที่เรียกว่าตัวเองนั้น เพราะคิดว่าตัวเองมีอยู่จึงยึดติดในการสะสมครอบครองสรรพสิ่ง และเพราะคิดว่าตัวเองไม่เพียงมีอยู่ หากยังแยกขาดจากผู้อื่นสิ่งอื่นตลอดจนโลกธรรมชาติ จึงมองสรรพชีวิตและโลกธรรมชาติเป็นเพียงสิ่งสนองความต้องการ
ใช่หรือไม่ว่าลัทธิบริโภคนิยมซึ่งเป็นเรือธงของระบบทุนนิยมในยุคโลกาภิวัตน์ ทำงานได้ผลเพราะอาศัยการปลูกฝังมายาคติเหล่านี้
จริงอยู่ มันเป็นเรื่องยากที่จะให้ปุถุชนคนทั่วไปเลิกยึดติดเรื่องตัวตน เป็นเรื่องยากที่คนเราจะมีชีวิตอยู่โดยไม่สนองความต้องการของตัวเองเลย อีกทั้งคงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในโลกนี้โดยไม่รบกวนธรรมชาติบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะหันเหทิศทางของอารยธรรมจากวัตถุนิยมสุดขั้ว(Extreme Materialism)ไปสู่อารยธรรมแบบจิตวิญญาณนิยม(Spiritualism)ไม่ได้ ประเด็นที่เรากำลังคุยกันไม่ใช่เลิกการบริโภคโดยสิ้นเชิง หรือเลิกอิงอาศัยธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ หากอยู่ที่ปัญหาการบริโภคที่ล้นเกิน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างใหม่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
แน่ละ การสร้างอารยธรรมใหม่ในทิศทางนี้ จำเป็นต้องอาศัยการทำความเข้าใจกันใหม่เกี่ยวกับโลกและชีวิต และย้ายกระบวนการสร้างความพอใจของคน จากอาศัยเงื่อนไขภายนอกมาสู่ความสงบข้างใน เปลี่ยนการแข่งขันมาเป็นร่วมมือ เปลี่ยนการครอบครองมาเป็นแบ่งปัน และที่สำคัญที่สุดคือเปลี่ยนวิถีชีวิตที่แยกตัวออกจากธรรมชาติมาเป็นอยู่ร่วมและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
อันที่จริง ชีวิตมนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาตลอด ดังจะเห็นจากปรากฏการณ์เกิดแก่เจ็บตาย ที่เราแชร์กับชีวิตอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ปรากฏรูปในฐานะมนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการธรรมชาติยังสร้างพวกเราขึ้นมาด้วยมวลธาตุเดียวกันกับสรรพชีวิตในโลกนี้ ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ มันเป็นมวลธาตุที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ไว้แล้วว่าล้วนมาจากการก่อเกิดและดับสูญของดวงดาว
มาจากการกระหน่ำชนโลกยุคแรกโดยดาวหางและอุกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วน
หรือพูดอย่างรวบรัดก็คือเรามาจากปรากฏการณ์ในระดับจักรวาล
ทุกวันนี้บรรดามวลธาตุจากดาวดับซึ่งถูกนำมาสู่โลกโดยดาวหาง ฝนดาวตกหรือผีพุ่งใต้ ยังคงผสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมทั้งในตัวมนุษย์ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่าการดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกคนนั้นเป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับโลกทั้งใบ เป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับทั่วทั้งจักรวาล ต้นไม้ สรรพสัตว์ ภูเขา สายน้ำ ท้องฟ้า อากาศ ล้วนเป็นญาติใกล้ชิดของเรา เป็นส่วนหนึ่งของเราพอๆ กับที่เราเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
นี่คือความจริงที่เราควรยึดกุมไว้เป็นแก่นแกนแห่งสำนึกทั้งปวงดังที่ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือชื่อ‘บุตรธิดาแห่งดวงดาว’
“เธอเดินทางมาแสนไกล จากเปลวไฟแห่งมหาอัคนี สู่มหาเมฆดึกดำบรรพ์ แปรผันเป็นวงจักรแห่งดารา อันคลี่คลายเป็นสมุทรพสุธาใต้ห่าฝนและแถบรุ้ง…
เธอคือส่วนเสี้ยวของดวงดาวที่มิได้เปลี่ยนรูปโดยอุบัติเหตุ หากเป็นผลแห่งอุบัติการณ์… แท้จริงเธอคือจิตวิญญาณอันเอกภพแสดงตน”
สำหรับผม นี่เป็นจุดบรรจบที่สำคัญมากระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ นอกเหนือไปจากการค้นพบควอนตัมฟิสิกส์ในศตวรรษที่ผ่านมา มันทำให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่าที่ศาสดาทั้งปวงสอนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของส่วนทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เรื่องสมมุติเลื่อนลอย และในทางตรงกันข้ามการที่มนุษย์ยุคใหม่แต่ละคนยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้น กลับเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ไร้สาระอย่างยิ่ง
ในหลักธรรมของพุทธศาสนา แนวคิดเรื่องสุญญตา(หรือความว่าง)ยืนยันว่าสรรพสิ่งและสรรพชีวิตล้วนอิงอาศัยกัน เกิดขึ้น มีอยู่ กระทั่งเปลี่ยนเป็นกันและกัน
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมีแก่นสารในตัวเอง ไม่มีสิ่งใดมีแก่นสารแยกต่างหากจากสิ่งอื่น ไม่มีสิ่งใด ชีวิตใดมีอัตตาตัวตนอย่างแท้จริง ทั้งหมดเป็นอนัตตา
ในศาสนาแบบเทวะนิยม การเป็นส่วนหนึ่งของส่วนทั้งหมด คือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ซึ่งก็ไม่ต่างอันใดกับการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เช่นเดียวกันกับพุทธธรรม คำสอนดังกล่าวมีนัยยะกำหราบอีโก้(Ego) ซึ่งจะนำไปสู่ความสมถะสำรวมเรื่องความต้องการ และย้ายความพอใจในชีวิตไปสู่การมอบตัว(Surrender)ต่อฟ้าดิน
คำสอนทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่เป็นเรื่องจำเป็น ถ้าเราอยากหันเหทิศทางของอารยธรรมออกจากการเบียดเบียนธรรมชาติ มาเป็นอยู่ร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการขัดเกลา ลดละตัวตน กระทั่งสลายตัวตนถ้าทำได้ เพราะอัตตาตัวตนคือต้นตอบ่อเกิดของการปรุงแต่ง ซึ่งนำไปสู่การบริโภคที่ล้นเกิน
ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมร้ายแรงที่โลกเผชิญอยู่ ผมยังมองไม่เห็นทางออกอื่นใดนอกจากการมุ่งไปในทิศทางนี้
พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ นอกเหนือจากการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมแล้ว ขบวนอนุรักษ์ธรรมชาติและงานอนุรักษ์ธรรมชาติ จะต้องเป็นความเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณด้วย เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวอื่นๆ ในอ้อมกอดของสุญญตา งานอนุรักษ์ธรรมชาติไม่อาจเกิดขึ้นแบบแยกส่วนได้
มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะออกจากเมืองไปปลูกต้นไม้คนละสองสามต้น แล้วกลับมาเอาเปรียบกันผ่านกลไกตลาด กลับมาเผาผลาญพลังงาน เพิ่มภาวะโลกร้อนด้วยวิถีชีวิตแบบบริโภคนิยม
อารยธรรมที่มีความสงบทางจิตวิญญาณเป็นแกนกลาง ย่อมอาศัยเงื่อนไขทางวัตถุน้อยลง ข้อนี้จะทำให้เป็นไปได้มากที่จะเลิกมองผืนป่าเป็นเพียงมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นไปได้มากที่จะเลิกนำที่ดินมาเป็นสินค้าเสรี เลิกมองทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งปวงว่าแค่มีประโยชน์ใช้สอย แล้วกลับมาเห็นทั้งจักรวาลเป็นบ้านเกิดและสรรพชีวิตเป็นมิตรสหาย
พูดให้ชัดขึ้นก็คือ มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะหดแคบตัวเองลงไป เพื่อที่จะได้พื้นที่ชีวิตอันใหญ่กว้างขวางกว่าเดิม เหมือนดังคำสอนของเต๋ากล่าวไว้ว่า“นกน้อยอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ แต่ใช้ไม้กิ่งเดียวสร้างรวงรัง”
แน่ละ สำหรับพวกเราที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา การออกจากมายาโดยสิ้นเชิงคงไม่ใช่เรื่องง่าย และหนทางที่มนุษย์จะก้าวไปสู่อารยธรรมแบบจิตวิญญาณก็อาจยังอีกยาวไกล
แต่เราจำเป็นต้องปักธงผืนนี้ไว้ตั้งแต่บัดนี้ เพื่อจะได้มีทิศทางให้ก้าวเดิน แม้เฉพาะหน้าเราอาจจำเป็นต้องอยู่กับมายาบ้าง แต่ก็ควรรู้ว่ามันเป็นมายา
อันที่จริง เมื่อมองจากมุมนี้ ชีวิตและความตายของสืบ นาคะเสถียร ย่อมไม่ใช่บทเรียนเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติในความหมายแคบๆ หากเป็นแบบอย่างของวิถีชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ(Spiritual Life)ที่ชัดเจนมากทีเดียว
ใช่หรือไม่ว่าในยามอยู่ คุณสืบเองก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะสำรวม มิได้มุ่งไปที่การสะสมทรัพย์สินอันใด ท่านนับญาติกับทั้งสัตว์ป่าและต้นไม้ อุทิศตนดูแล กระทั่งใช้ความตายของตนเป็นแถลงการณ์ร้องทุกข์แทนพี่น้องเหล่านั้น
ด้วยผนึกตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติดังกล่าว ทุกวันนี้สืบ นาคะเสถียรจึงยังมีชีวิตอยู่ ๒๐ ปีผ่านไปแล้ว แต่เรายังคงสัมผัสพลังของท่านได้จากมิติทางด้านจิตวิญญาณ…
ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติรับฟัง
ความเดิมตอนที่แล้ว
คนกับธรรมชาติ ต้องอยู่ร่วมกันจึงอยู่รอด โดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (๓)