คนกับธรรมชาติ ต้องอยู่ร่วมกันจึงอยู่รอด โดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล(๔ : จบ)

หมายเหตุ : ในปาฐกถาเพื่อรำลึกถึงสืบ  นาคะเสถียรนี้ เป็นสิ่งที่นักอนุรักษ์ และ”คน”ทุกคนควรจะได้’ฟัง-อ่าน’ พินิจพิจารณา และใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง–เพื่อใช้เป็นแนวทางการอนุรักษ์ธรรมชาติ…ต่อไป-“รักษ์เขาใหญ่

(ต่อ…)
            คำถามมีอยู่แล้วว่าเราจะทำอย่างไรกันดี  ในเมื่อรู้ชัดอยู่แล้วว่าโลกร้อนเพราะน้ำมือมนุษย์ โลกร้อนเพราะการผลิตการค้าเพื่อกำไรสูงสุด โลกร้อนเพราะการบริโภคที่ล้นเกิน
            ตามความเห็นของผม  คำตอบที่เหมือนจะเป็นกำปั้นทุบดิน แต่ตรงคำถามที่สุดคือ เราต้องรีบเปลี่ยนทิศทางการใช้ชีวิต  ซึ่งมีนัยยะถึงขั้นเปลี่ยนแบบแผนอารยธรรม
            พูดสั้นๆ ง่ายๆ คือเราต้องรีบถอนอุปาทานของลัทธิบริโภคนิยมให้ทันเวลา
            แน่ละ ในปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ได้ทำให้ลัทธิบริโภคนิยมไม่ได้จำกัดตัวอยู่ในประเทศที่มั่งคั่งเท่านั้น  หากยังลุกลามราวไฟบรรลัยกัลป์อยู่ในประเทศโลกที่สามอย่างประเทศไทยด้วย มันคือกระบวนการที่จะดึงเงินออกจากมือของประชากรส่วนน้อยที่มีรายได้ค่อนข้างสูงไปสู่กลุ่มทุนใหญ่ซึ่งประกอบด้วยคนแค่หยิบมือเดียวทั้งในประเทศและต่างประเทศ

            สภาพดังกล่าวเริ่มต้นในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่  จากนั้นภายในเวลาไม่นาน ค่านิยมเรื่องการใช้ชีวิตอย่างสมถะสำรวม หรือกินอยู่อย่างมัธยัสถ์ นุ่งเจียมห่มเจียมก็ได้ถูกทำลายล้างลงอย่างสิ้นเชิง และบริโภคนิยมได้กลายเป็นวิถีชีวิตหลักของผู้คนที่มีอำนาจซื้อในประเทศนี้ ในปัจจุบัน เราอาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมแบบ“เบื่อก็ซื้อใหม่ พอใจก็ซื้ออีก”ได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว
            แต่ก็อีกนั่นแหละ คนเราจะใช้ชีวิตเช่นนั้นได้จะต้องประกอบสภาพจิตที่พร่ามัวอย่างน้อย ๓ เรื่อง คือหนึ่ง ลืมไปว่าชีวิตเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวและต้องการความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากกว่าการเสพย์สุขสำราญไปวันๆ  สอง ลืมไปว่ายังมีเพื่อนมนุษย์อีกเป็นจำนวนมากที่ลำบากยากแค้นและต้องการการแบ่งปันปัจจัยดำรงชีพ  และสาม ลืมไปว่าธรรมชาติมีขีดจำกัดในการรองรับความต้องการของมนุษย์ และการเบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไปจะส่งผลร้ายกลับมา
            ตามความเข้าใจของผม  ความพร่ามัวทางจิตวิญญาณเช่นนี้ล้วนมีรากฐานอยู่ที่อุปาทานเรื่อง‘ตัวกูของกู’ …มีรากเหง้าอยู่ที่การยึดติดในอีโก้(Ego)หรืออัตตาตัวตน
  เพราะคิดว่าตัวเองมีอยู่จึงบังเกิดความปรารถนาสารพัดอย่าง เพื่อปรุงแต่งสิ่งที่เรียกว่าตัวเองนั้น เพราะคิดว่าตัวเองมีอยู่จึงยึดติดในการสะสมครอบครองสรรพสิ่ง และเพราะคิดว่าตัวเองไม่เพียงมีอยู่ หากยังแยกขาดจากผู้อื่นสิ่งอื่นตลอดจนโลกธรรมชาติ  จึงมองสรรพชีวิตและโลกธรรมชาติเป็นเพียงสิ่งสนองความต้องการ
            ใช่หรือไม่ว่าลัทธิบริโภคนิยมซึ่งเป็นเรือธงของระบบทุนนิยมในยุคโลกาภิวัตน์ ทำงานได้ผลเพราะอาศัยการปลูกฝังมายาคติเหล่านี้
             จริงอยู่  มันเป็นเรื่องยากที่จะให้ปุถุชนคนทั่วไปเลิกยึดติดเรื่องตัวตน เป็นเรื่องยากที่คนเราจะมีชีวิตอยู่โดยไม่สนองความต้องการของตัวเองเลย อีกทั้งคงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในโลกนี้โดยไม่รบกวนธรรมชาติบ้าง  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะหันเหทิศทางของอารยธรรมจากวัตถุนิยมสุดขั้ว(Extreme Materialism)ไปสู่อารยธรรมแบบจิตวิญญาณนิยม(Spiritualism)ไม่ได้  ประเด็นที่เรากำลังคุยกันไม่ใช่เลิกการบริโภคโดยสิ้นเชิง หรือเลิกอิงอาศัยธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เพราะมันเป็นไปไม่ได้  หากอยู่ที่ปัญหาการบริโภคที่ล้นเกิน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างใหม่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
               แน่ละ การสร้างอารยธรรมใหม่ในทิศทางนี้ จำเป็นต้องอาศัยการทำความเข้าใจกันใหม่เกี่ยวกับโลกและชีวิต  และย้ายกระบวนการสร้างความพอใจของคน จากอาศัยเงื่อนไขภายนอกมาสู่ความสงบข้างใน เปลี่ยนการแข่งขันมาเป็นร่วมมือ เปลี่ยนการครอบครองมาเป็นแบ่งปัน  และที่สำคัญที่สุดคือเปลี่ยนวิถีชีวิตที่แยกตัวออกจากธรรมชาติมาเป็นอยู่ร่วมและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
              อันที่จริง  ชีวิตมนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาตลอด ดังจะเห็นจากปรากฏการณ์เกิดแก่เจ็บตาย  ที่เราแชร์กับชีวิตอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ปรากฏรูปในฐานะมนุษย์
              ยิ่งไปกว่านั้น  กระบวนการธรรมชาติยังสร้างพวกเราขึ้นมาด้วยมวลธาตุเดียวกันกับสรรพชีวิตในโลกนี้ ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ มันเป็นมวลธาตุที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ไว้แล้วว่าล้วนมาจากการก่อเกิดและดับสูญของดวงดาว
             มาจากการกระหน่ำชนโลกยุคแรกโดยดาวหางและอุกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วน
  หรือพูดอย่างรวบรัดก็คือเรามาจากปรากฏการณ์ในระดับจักรวาล
             ทุกวันนี้บรรดามวลธาตุจากดาวดับซึ่งถูกนำมาสู่โลกโดยดาวหาง ฝนดาวตกหรือผีพุ่งใต้ ยังคงผสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  รวมทั้งในตัวมนุษย์ด้วย
  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่าการดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกคนนั้นเป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับโลกทั้งใบ  เป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับทั่วทั้งจักรวาล ต้นไม้ สรรพสัตว์ ภูเขา สายน้ำ ท้องฟ้า อากาศ ล้วนเป็นญาติใกล้ชิดของเรา เป็นส่วนหนึ่งของเราพอๆ กับที่เราเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
               นี่คือความจริงที่เราควรยึดกุมไว้เป็นแก่นแกนแห่งสำนึกทั้งปวงดังที่ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือชื่อ‘บุตรธิดาแห่งดวงดาว
            เธอเดินทางมาแสนไกล  จากเปลวไฟแห่งมหาอัคนี  สู่มหาเมฆดึกดำบรรพ์  แปรผันเป็นวงจักรแห่งดารา  อันคลี่คลายเป็นสมุทรพสุธาใต้ห่าฝนและแถบรุ้ง…
             เธอคือส่วนเสี้ยวของดวงดาวที่มิได้เปลี่ยนรูปโดยอุบัติเหตุ  หากเป็นผลแห่งอุบัติการณ์… แท้จริงเธอคือจิตวิญญาณอันเอกภพแสดงตน
            สำหรับผม นี่เป็นจุดบรรจบที่สำคัญมากระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ นอกเหนือไปจากการค้นพบควอนตัมฟิสิกส์ในศตวรรษที่ผ่านมา มันทำให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่าที่ศาสดาทั้งปวงสอนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของส่วนทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เรื่องสมมุติเลื่อนลอย  และในทางตรงกันข้ามการที่มนุษย์ยุคใหม่แต่ละคนยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้น กลับเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ไร้สาระอย่างยิ่ง
              ในหลักธรรมของพุทธศาสนา  แนวคิดเรื่องสุญญตา(หรือความว่าง)ยืนยันว่าสรรพสิ่งและสรรพชีวิตล้วนอิงอาศัยกัน เกิดขึ้น มีอยู่ กระทั่งเปลี่ยนเป็นกันและกัน
              เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมีแก่นสารในตัวเอง  ไม่มีสิ่งใดมีแก่นสารแยกต่างหากจากสิ่งอื่น  ไม่มีสิ่งใด ชีวิตใดมีอัตตาตัวตนอย่างแท้จริง ทั้งหมดเป็นอนัตตา
             ในศาสนาแบบเทวะนิยม  การเป็นส่วนหนึ่งของส่วนทั้งหมด คือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า  ซึ่งก็ไม่ต่างอันใดกับการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เช่นเดียวกันกับพุทธธรรม  คำสอนดังกล่าวมีนัยยะกำหราบอีโก้(Ego) ซึ่งจะนำไปสู่ความสมถะสำรวมเรื่องความต้องการ และย้ายความพอใจในชีวิตไปสู่การมอบตัว(Surrender)ต่อฟ้าดิน
              คำสอนทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่เป็นเรื่องจำเป็น  ถ้าเราอยากหันเหทิศทางของอารยธรรมออกจากการเบียดเบียนธรรมชาติ มาเป็นอยู่ร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
             สิ่งแรกที่ต้องทำคือการขัดเกลา ลดละตัวตน กระทั่งสลายตัวตนถ้าทำได้  เพราะอัตตาตัวตนคือต้นตอบ่อเกิดของการปรุงแต่ง  ซึ่งนำไปสู่การบริโภคที่ล้นเกิน
             ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมร้ายแรงที่โลกเผชิญอยู่  ผมยังมองไม่เห็นทางออกอื่นใดนอกจากการมุ่งไปในทิศทางนี้
             พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ  นอกเหนือจากการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมแล้ว  ขบวนอนุรักษ์ธรรมชาติและงานอนุรักษ์ธรรมชาติ  จะต้องเป็นความเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณด้วย เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวอื่นๆ ในอ้อมกอดของสุญญตา งานอนุรักษ์ธรรมชาติไม่อาจเกิดขึ้นแบบแยกส่วนได้
             มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะออกจากเมืองไปปลูกต้นไม้คนละสองสามต้น  แล้วกลับมาเอาเปรียบกันผ่านกลไกตลาด กลับมาเผาผลาญพลังงาน เพิ่มภาวะโลกร้อนด้วยวิถีชีวิตแบบบริโภคนิยม
              อารยธรรมที่มีความสงบทางจิตวิญญาณเป็นแกนกลาง  ย่อมอาศัยเงื่อนไขทางวัตถุน้อยลง  ข้อนี้จะทำให้เป็นไปได้มากที่จะเลิกมองผืนป่าเป็นเพียงมูลค่าทางเศรษฐกิจ  เป็นไปได้มากที่จะเลิกนำที่ดินมาเป็นสินค้าเสรี  เลิกมองทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งปวงว่าแค่มีประโยชน์ใช้สอย  แล้วกลับมาเห็นทั้งจักรวาลเป็นบ้านเกิดและสรรพชีวิตเป็นมิตรสหาย
              พูดให้ชัดขึ้นก็คือ  มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะหดแคบตัวเองลงไป เพื่อที่จะได้พื้นที่ชีวิตอันใหญ่กว้างขวางกว่าเดิม เหมือนดังคำสอนของเต๋ากล่าวไว้ว่า“นกน้อยอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ แต่ใช้ไม้กิ่งเดียวสร้างรวงรัง
              แน่ละ  สำหรับพวกเราที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา การออกจากมายาโดยสิ้นเชิงคงไม่ใช่เรื่องง่าย  และหนทางที่มนุษย์จะก้าวไปสู่อารยธรรมแบบจิตวิญญาณก็อาจยังอีกยาวไกล
              แต่เราจำเป็นต้องปักธงผืนนี้ไว้ตั้งแต่บัดนี้  เพื่อจะได้มีทิศทางให้ก้าวเดิน แม้เฉพาะหน้าเราอาจจำเป็นต้องอยู่กับมายาบ้าง แต่ก็ควรรู้ว่ามันเป็นมายา
               อันที่จริง เมื่อมองจากมุมนี้  ชีวิตและความตายของสืบ  นาคะเสถียร ย่อมไม่ใช่บทเรียนเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติในความหมายแคบๆ หากเป็นแบบอย่างของวิถีชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ(Spiritual Life)ที่ชัดเจนมากทีเดียว
              ใช่หรือไม่ว่าในยามอยู่  คุณสืบเองก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะสำรวม มิได้มุ่งไปที่การสะสมทรัพย์สินอันใด  ท่านนับญาติกับทั้งสัตว์ป่าและต้นไม้ อุทิศตนดูแล กระทั่งใช้ความตายของตนเป็นแถลงการณ์ร้องทุกข์แทนพี่น้องเหล่านั้น
              ด้วยผนึกตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติดังกล่าว  ทุกวันนี้สืบ  นาคะเสถียรจึงยังมีชีวิตอยู่ ๒๐ ปีผ่านไปแล้ว  แต่เรายังคงสัมผัสพลังของท่านได้จากมิติทางด้านจิตวิญญาณ…
              ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติรับฟัง

ความเดิมตอนที่แล้ว
คนกับธรรมชาติ ต้องอยู่ร่วมกันจึงอยู่รอด โดย ดร.เสกสรรค์  ประเสริฐกุล (๓) 

 

 

 

ปิดการแสดงความเห็น