ทอดสมอใจ ที่สมอปูน (โดย…albatross)
ขณะที่นิ้วกดไล่ดูรูปไปเรื่อยๆ ทั้งทุ่งดอกไม้ ทั้งธารน้ำและภูเขาสีเขียวหมาดฝนบ่งบอกว่าเพิ่งร่ำลากับเจ้าฤดูฝนจอมแปรปรวนมาไม่นาน พานให้นึกถึงบรรดากบคงอิ่มพุงปลิ้นหลังเปิดวงออเคสตร้าแลกอาหารเพื่อสะสมไว้สำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือน ภาพความประทับใจเพียงไม่กี่ภาพที่กล้องกิ๊กก๊อกของฉันปล่อยพลังถ่ายเก็บไว้ ก่อนแหล่งพลังงานก้อนจิ๋วจะทรยศหมดแรงไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่ยังถ่ายรูปไม่ได้กี่ใบ
ฉันดูรูปที่ถ่ายมาดูแล้วดู
อีกแล้วยังแว้บดูของคนอื่นๆ ที่ถ่ายเอาไว้ด้วย ใจคิดเพียงแต่ ว่าทริปชวนฝัน(ไม่ได้โม้นะ)ช่างผ่านไปรวดเร็วราวขี้นกตกจากฟ้า อยากเปรียบเหมือนการกินไอติมรสโปรดที่เราค่อยๆ ละเลียดกินทีละน้อยเพราะกลัวจะหมด แต่สุดท้ายมันก็ทนแดดไม่ไหวละลายคามือคาตา ว้า…ฉันยังลิ้มรสไอติมไม่หนำใจเลย อย่างไรก็ตามไอติมก้อนนี้ถูกแช่แข็งอยู่ในความทรงจำของฉันแทน กลิ่นเลมอนเชอเบทยังกรุ่นอยู่ในโพรงจมูก และซอสราสเบอร์รี่สีม่วงราดตัดกับเลมอนเชอเบทสีเขียวยังฉ่ำอยู่ในปาก เย็นชื่น…ใจ ฉันควักไอติมในความทรงจำที่ไม่มีวันละลายมาละเลียด เล็ม เลียอีกครั้งหนึ่ง
ไอติมคำแรกที่แสนจะเย็นวาบ:
ทริปนี้แบ่งออกเป็นคณะใหญ่สามคณะ ฝั่งปากช่องมีคณะลุงแดงกับเหล่าคุณหมอคุณพยาบาลร่วมคณะให้เราหายห่วงเรื่องหยูกยา อีกคณะคือคณะของพรรคมาร นำโดยลุงแขกหนวดยาวและป้าแน็ต(ผู้คุมหัวหน้าพรรคมารอีกที) ที่ขาดไม่ได้เลยคือครูนพ เซียนปราบมารเวลาเหล่ามารเกเรและเหิมเกริมกับผู้บริสุทธิ์ สำหรับฝั่งปราจีนนำทีมโดยหวาน ไร้สังกัด แต่เป็นเพื่อนกับผู้นำวังบุปผา(คือฉันเอง)ก็เลยจะโมเมว่าอยู่พรรคเดียวกัน ทีมปราจีนของหวานตามมาด้วยหนุ่มสาวเทคนิคและอาจารย์ชุมพลเจ้าประจำ รวมทั้งพี่น้องจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร น้องๆ จากโรงเรียนศรีมโหศถ พี่ซอมิตรจากแดนใต้และเพื่อนต่างชาติชาวแดนภารตะอัมพิกา คณะปากช่องพากันข้ามเขาใหญ่มาสู่ที่ทำการหน่วยคลองเพกาที่ตั้งอยู่ฝั่งปราจีนตามเวลานัด“สามโมง” ฝั่งปราจีนมารอเราแต่เช้าเพราะเข้าใจว่า“สามโมงเช้า”หรือเก้านาฬิกา แต่ฝั่งปากช่องยืดย้วยกว่าจะยุรยาตรทัพออกจากปากช่องได้
ดูท่าทีมฝั่งปากช่องจะถึงตอน“สามโมง”เย็นซะมากกว่า เมื่อคณะผู้ร่วมทริปชวนฝันพร้อมหน้าครบครันและได้ทักทายกันด้วยสุรากันไปคนละจอกสองจอก แสงแดดส่งลงกลางหัวบอกเวลาเปิดงาน การเดินทางจึงเริ่มขึ้น
ก่อนก้าวแรกของฉันจะก้าวออกไปเพื่อเริ่มการเดินทาง ฉันแอบถอนหายใจเล็กๆ กับความสูงชันของยอดเขาที่เราจะต้องฝ่าไปให้ได้ในวันนี้ ฉันกระชับกระเป๋าเป้ที่หนักอึ้ง(ในความรู้สึกของฉัน)ออกประทับรอยเท้าและเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลังได้ยินเสียงเรียกของสาวๆปราจีน แม้กระเป๋าบนหลังจะแน่นเอี๊ยดด้วยอาหารและเสื้อผ้า แต่กระเป๋าประสบการณ์ของฉันก็ว่างและเปิดไว้สำหรับเติมประสบการณ์ใหม่ๆ เสมอ เดินออกมาได้เพียงไม่นานน้องอั้มหนุ่มน้อยตัวอ้วนจากเทคนิคปราจีนก็ได้รับน้ำมนตร์เสียแล้ว ขณะที่กำลังเดินข้ามลำธารเล็กๆ มือหนึ่งประคองกีตาร์ตัวโปรดของลุงแขกที่ห่อหุ้มผ้ามาอย่างดี บนหลังก็แบกเป้ตุงจนปูดออกข้างๆ คงเพราะกลัวจะเปียกน้ำตั้งแต่เริ่มทริป เลยไม่ยอมจะให้ขาเปียกน้ำ น้องอั้มเลือกเดินบนก้อนหินอย่างระมัดระวัง เจ้าคิงลี่เพื่อนร่วมสถาบันรอช่วยเพื่อนอยู่ แม้ระวังเพียงใดน้องอั้มก็พลาดจนได้ ตู้ม!..น้องอั้มตกน้ำ ขณะที่เจ้าคิงฉวยกีตาร์ไว้ได้ทัน คิงโล่งใจเพราะกีตาร์ลุงแขกปลอดภัย แต่อั้มยังงงอยู่ว่าลงมาอยู่ในน้ำได้ยังไง ว่าแล้วก็เดินเปียกปอนทำหน้างงปนแค้นมาทางฉัน คงจะแค้นเจ้าคิงที่ฉวยกีตาร์แทนจะเป็นมือเพื่อน แม้ตัวจะเปียกแฉะเดินเหมือนโอเอซิสมีน้ำไหลออกตามตัว แต่อั้มก็ยังรับผิดชอบถือกีตาร์ทำตามุ่งมั่นแล้วออกเดินต่อ เดินไปเดินมากลุ่มแรกที่ฉันเดินมาด้วยก็พลันหายไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อเหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยแล้วก็ชักแถวเดินต่อ หนุ่มสาวบางคนใจสู้ก็สามารถฮึดเดินสู่ที่หมายได้ดังใจปรารถนาโดยเร็ว ฉันก็ใจสู้นะ-แต่ในเมื่อขามันบอกว่าเดินต่อไม่ไหวเลยต้องดึงใจมาไว้คู่กับขาเพื่อเราจะได้เดินไปพร้อมๆ กันแบบไม่เหนื่อยมากนัก ก้าว-หอบ-พัก นี่คือวงจรชีวิตของฉันและเพื่อนร่วมทางทั้งหลายระหว่างเดินสู่ปลายทางที่รอคอย จะว่าไปแล้วก็เหมือนคลื่นชีวิตของคนเราเหมือนกัน ฉันแอบคิดในใจเงียบๆ ขณะพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งบนเส้นทางที่เราย่ำผ่านมา ที่เขาบอกว่าชีวิตมีขึ้นและลงให้เราได้เรียนรู้ ฉันเห็นภาพและตระหนักกับตัวเองในครานี้เอง ชีวิตของเรากำลังขึ้น ขึ้นไปสู่ยอดเขา เมื่อเหนื่อยหอบเราก็ลงมาก้นติดดิน เฮ่อ!..ชีวิตมีขึ้นและลงจริงๆ ลงแบบคลุกดินคลุกฝุ่นเลยเชียว
คนที่ใจและเท้าสาวไปพร้อมกันมากที่สุดเห็นจะเป็นกลุ่มส.ว. ที่ตามมาทีหลัง คิดว่าท่านเหล่านั้นคงจะเดินจงกรมอยู่ ก้าวทีก็ยุบหนอพองหนอขอพักอีกสักหน่อยได้ไหมหนอ… ดังนั้นท่านส.ว.เหล่านั้นจึงต้องอาศัยน้ำปานะแบบพิเศษ เพราะจะเติมพลังให้กระชุ่มกระชวยได้ดีกว่าน้ำจืดชืดไร้แอลกอฮอล์ น้ำปาณะสีอำพันไงเล่า วิเศษนักสำหรับท่านส.ว.เพราะมันทำให้เครื่องเดิน แม้จะเดินห่างจากกลุ่มแรกหลายกิโล การเดินจงกรมของท่านส.ว.ทำให้เรารู้ว่า จะเดินช้าเดินเร็ว ยังไงก็ถึงเหมือนกัน เมื่อเห็นแสงอาทิตย์เริ่มจางจากฟ้าฉันแอบเป็นห่วงพวกเขาอยู่ในใจมิใช่น้อย แต่มั่นใจว่าช่วงหลังพวกเขาคงใช้ใจแบกกายเดินมาถึงที่พักจนได้ เมื่อเห็นว่าจะเป็นดังนั้น พอมาถึงที่พักสาวๆ
ปราจีนและฉันจึงช่วยกันหุงหาอาหารเตรียมไว้ โดยการกำกับของป้าแน็ต ผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาพรรคมาร(พูดแล้วก็งงเอง)แห่งวังค้างคาว และความช่วยเหลือจากพี่ๆ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ สนับสนุนเรื่องไฟโดยฮัทซันและหวาน หลังจากกองไฟสว่างโชติช่วงทุกคนไม่รอรีรีบเอาเสบียงที่ตนอุตส่าห์แบกมากองรวมกันเพื่อจะช่วยกันคิดเมนู ดังนั้นมื้อแรกเราจึงได้กินต้มยำปลากระป๋องและผัดกะหล่ำปลี แน่นอนว่ากะหล่ำปลีแสนหนักนั้นจะถูกกำจัดออกไปทันใดถึงสามหัว
อัมพิกาเห็นพวกเรายุกๆ ยิกๆ กับอาหารกระป๋องอยู่นานสองนาน นั่นเพราะเรากำลังเถียงกันอยู่ว่าจะทำอะไรฉลองมื้อแรกอันบอบช้ำนี้ดี แล้วอัมพิกาก็เสนอข้าวผสมเครื่องเทศของเธอ ตอนเธอโรยพริกกับเกลือลงในข้าว ทุกคนทำหน้าแปลกๆ แต่เมื่อข้าวสุกก็มารุมกินข้าวของเธออย่างเอร็ดอร่อย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะได้กินสักกี่คำ ณ วินาทีนั้นไม่ว่าอะไรก็อร่อยไปหมด ดังนั้นฉันจึงถือวิกฤตินี้เป็นโอกาสด้วย โดยเป็นคนปรุงอาหารมื้อนั้นเองกับมือ เพราะน้องๆ มองหน้ากันไปมาไม่มีใครกล้าปรุง กลัวจะโดนกล่าวโทษถึงรสชาติอันพิลึกพิลั่นซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ กับข้าวมื้อนั้นเลยอยู่ในเงื้อมมือฉัน อร่อยไม่อร่อยแต่ก็หมดเรียบ คงเพราะเหนื่อยและหิวโซกันมาก หลังจากมื้อนั้นฉันก็ไม่กล้าปรุงอาหารอีกเลย เพราะดูเหมือนเพื่อนร่วมทางทั้งหลายต่างมีสติสตังกันมากขึ้น ฉันเลยกลัวว่าพวกเขาจะรู้รสชาติที่แท้จริงของอาหารที่ฉันปรุง
คืนแรกของเราบนเขา ไม่มีอะไรจะตรึงใจฉันไปกว่าธารน้ำเย็นกลางคืนเดือนมืด น้ำเย็นไหลเลาะคลอแก่งหิน ไหลไปไกลสักแค่ไหนฉันก็ไม่อาจรู้นั่นเพราะความมืดยังซ่อนความงามเอาไว้อยู่ ฉันคิดเองว่าหากนำจันทร์เต็มดวงมาแปะไว้บนฟ้าได้ความงามของสายน้ำที่ซ่อนไว้ทั้งสายคงแง้มออกมาให้เราได้ชมกันบ้าง เมื่อหาที่เหมาะได้แล้วฉันก็จุ่มตัวลงไปด้วยชุดว่ายน้ำแบบโบราณ“กระโจมอก” ความเย็นของน้ำไล้ลูบจากปลายเท้าถึงเข่า เอว แขน คอ ฉันหลับตาแล้วกดตัวเองลงในน้ำท้าความเย็น ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหลายทั้งปวงที่ได้รับมาในวันนี้หลุดลอยไปพร้อมกับน้ำ อารมณ์ผ่อนคลายบังเกิดขึ้นใต้ผิวหนังและแล่นสู่สมองเมื่อน้ำเย็นชโลมผมชุ่มเหงื่อ สายตาฉันขณะนี้ขนานไปกับน้ำ เบื้องหน้าคือชายป่าที่เราเพิ่งเดินออก ยามมองในความมืดราวกับทิวเขาทอดตัวกั้นสายน้ำ คืนเดือนมืดให้สีโมโนโทนก็จริง หากแยกออกเป็นเฉดไล่ระดับความเข้มของภาพ ดังนั้นเราเห็นโครงสร้างของภาพได้ชัดเจนขึ้น ไม่เหมือนตอนกลางวันที่หลายคนใส่ใจรายละเอียดที่ซับซ้อน ฉันหลงรักความเรียบง่ายของโครงสร้างที่มีไว้เติมรายละเอียด ดังนั้นต้นไม้ไร้ใบหลายต่อหลายต้นจึงถูกซุ่มยิงด้วยน้องซอนย่ากล้องตัวเก่งของฉัน ต้นไม้เหล่านั้นสวยดียามตัดกับสีฟ้าของฟ้า ไม่ก็สีเรื่อมลังเมเลืองของตะวันยามเย็น
เมื่อท้องอิ่มและร่างกายฟื้นจากความเหน็ดเหนื่อย ความง่วงก็ถาโถมเข้ามาอย่างมิอาจห้ามได้ โถมเข้ามาเหมือนน้ำที่กำลังท่วมให้ชาวเมืองเบื้องล่างทุกข์ทนอยู่ขณะนี้ จะเอากระสอบทรายมากั้นเท่าไหร่ ความง่วงก็แทรกซึมทลายกระสอบทรายเสียสิ้น ทันทีที่เอนตัวลงนอน ฉันก็ลงสู่ห้วงนิทรา แม้จะกังวลอยู่บ้างว่าฝนจะตก เพราะช่วงหัวค่ำฟ้าหยอกให้เราตกใจนิดๆ ด้วยปรอยฝน…เทวดาคงยินดีด้วยที่ทุกคนเดินทางมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเลยให้กำลังใจเป็นปรอยฝนเล็กๆ แล้วพรุ่งนี้เราจะตื่นมาลุยกันใหม่
ให้ฉันละเลียดกินเธอนะ:
ฉันอดจะงัวเงียตื่นขึ้นมาไม่ได้หลังนอนไปได้สักพัก รอบตัวยังคงมืดและคงจะเงียบมากเพราะจิ้งหรีดและกบก็ไม่ออกมาแสดงออเคสตร้า แต่เสียงโหยหวนอย่างไม่น่าให้อภัยกลับแทงทะลุทะลวงความเงียบนั้นปลุกให้ต้องตื่นขึ้นมาดูหน่อยว่าไอ้พวกนั้นมันคือใคร แต่ตาก็ปรือเกินอีกทั้งความขี้เกียจก็เข้าครอบคลุม จึงได้แต่แอบด่าอยู่ในใจ ทนฟังเสียงโหยหวนครวญเพลงจนตื่นอีกทีตอนเช้ามืด ใจฉันมุ่งตรงไปที่ธารน้ำทันที ฉันจะต้องเห็นมันให้เต็มตาให้ได้ ไม่ต้องรออะไรแล้ว ฉันผลัดผ้าเล่นน้ำคนเดียว น้องนกหวีดสาวเทคนิคขาโหดมาถ่ายรูปรอเป็นเพื่อนและเป็นยามเฝ้าดูคนผ่านไปผ่านมาให้ ฉันนอนให้น้ำไหลผ่านตัว เอาหูแนบน้ำฟังเสียงน้ำไหล…เป็นยังไงหรือ ต้องลองเอง จากนั้นก็เงยหน้ามองฟ้า ฟ้าสีฟ้าสวยตัดกับสีชายป่าไผ่สีเขียว แดดจ้าไปนิดทำให้มองฟ้าได้ไม่เต็มตานัก คงจะดีไม่ใช่น้อยหากพกแว่นกันแดดมาด้วย ฉันแช่ตัวยังไม่ทันสะใจก็ถูกไล่ที่ซะแล้ว เพราะคุณผู้ชายเขาอยากจะอาบน้ำบ้าง เสียดายจัง !
ฉันเดินดูดอกไม้รอบๆ ที่พัก ดอกหญ้าสารพัดสีออกดอกจิ้มลิ้มเป็นกอ เดี๋ยวบานตรงโน้น แย้มตรงนี้จนฉันเลือกถ่ายรูปไม่ถูก เมื่อเดินไปหลังที่พักก็ต้องตื่นตากับทุ่งดอกกระดุมเงินขนาดใหญ่ กี่ร้อยกี่พันคำขอโทษที่ฉันพูดอยู่ในใจเมื่อย่างเหยียบลงบนสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สีขาวรอบตัวฉันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อัมพิกานั่งอยู่บนโขดหินกลางทุ่งกระดุมเงิน เธอเรียกฉันไปดูสิ่งหนึ่ง เจ้าดักแด้สีเขียวตัวอ้วนนอนเกาะกับกิ่งไม้ใกล้ๆ นั้น เราต่างเดาว่ามันจะออกมาสีอะไรเมื่อกลายเป็นผีเสื้อ หากจะต้องรอคำตอบ เราคงต้องพักอยู่แถวนั้นอีกเป็นอาทิตย์ก็เป็นได้ เราจึงได้แค่นั่งจินตนาการถึงสีของมันและปล่อยให้แดดยามเช้าไล้เลียผิวอย่างไม่กลัวดำเหมือนที่สาวไทยทั้งหลายกลัวกันราวกับเป็นโรคร้าย
การเดินทางอีกครั้งเริ่มขึ้น แต่ครั้งนี้จำนวนลูกเป็ดของทัวร์เราลดลง เนื่องจากทีมของลุงแดงจะต้องลงเขาก่อนเราหนึ่งวัน จึงขอแยกตัวไปก่อนตั้งแต่เช้าเนื่องจากจุดหมายของวันใหม่นี้ยังอีกแสนยาวไกล กลุ่มที่เหลือคือพรรคมารและพี่น้องจากปราจีนก็รวมพลังสามัคคีเดินต่อ สายแล้วเราเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ เดินเลาะทุ่งหญ้าดอกไม้ไปเรื่อยๆ สาวสนมเธอก็แย้มกลีบยั่วให้ถ่ายรูป หงอนนาคม่วงอ่อนโยกย้ายตามลม
สร้อยสุวรรณาเหลืองอร่ามทุ่ง
ตาต้องแสงพราวของหยาดน้ำค้างสีแดงบนลานหิน และแม่ดุสิตานางเอกของงาน สีน้ำเงินอมม่วงอมแดง เธอชูดอกเย้ยดอกไม้ชนิดอื่นทั้งมวล เพราะชุดของเธอโดดเด่นท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวหรือแม้แต่หญ้าแห้ง
การเดินกลางทุ่งหญ้ายามสายแสนร้อน แต่ก็มีลมพัดมาให้เราชื่นใจได้เป็นวูบๆ ฉันหยุดพักบ่อยสำหรับเส้นทางแบบนี้ เพราะแพ้กับอากาศร้อนแบบนี้เหลือเกิน เดินไปได้หน่อยตาก็ควานหาร่มไม้ไว้หายใจ ทุ่งหญ้าโล่งทำให้เราเห็นเพื่อนร่วมทริปได้เต็มตามากขึ้น ดังนั้นจึงเห็นได้ไม่ยากเลยว่าใครมีอาการแบบฉันบ้าง สาวๆ ปราจีนนั้นโดนแดดจนเหี่ยวกันไปหมดแล้ว พวกเธอคงไม่บังอาจคิดสู้เจ้ากระดุมเงินหรือหงอนนาคท้าแดดอยู่ได้ทั้งวี่วัน พี่อุ๊ พี่อ๋อ สอง“อ.”นี้ก็ไม่ต่างไปจากฉันมากนักหรอก(ฮาๆ) เหงื่องี้โชกเชียว เราทุกคนต่างเดินเซซมเพราะเมาแดดมาจนถึงละเมาะน้อยก่อนถึงคลองฟันปลา มีธารน้ำเล็กไหลซอกซอนผ่านร่องหินพอเป็นแหล่งน้ำให้เราได้ชื่นใจบ้าง หลายคนถึงกับนอนแผ่บนหิน เมื่อลุงแขกและครูนพมาถึง เราก็ตกลงจะพักที่นี่คืนนี้ โอ้…การเดินทางวันนี้ช่างสิ้นสุดเร็วดีจริงๆ กองกำลังชายชาญของเราเป็นผู้ตระเตรียมที่พักสำหรับคืนนี้ ช่างน่าสงสารเสียจริงที่แถวนี้ขาดแคลนต้นไม้ใหญ่ให้ผูกผ้าใบทำให้กองกำลังชายชาญของเราต้องขึงเชือกราวกับจะล้อมวงสายสิญจน์ ขณะที่ที่พักกำลังเป็นรูปเป็นร่าง วงเหล้าก็ตั้งขึ้นพร้อมกัน ทีแรกวงนี้เป็นวงกาแฟแต่ไหงอยู่ดีๆ กลายเป็นวงเหล้าเสียอย่างนั้น รู้สึกว่าวงเหล้านี้จะเลือกทำเลได้เหมาะเจาะ เพราะอยู่บนลานหินโล่งมีม่านต้นไม้บังแดดยามเย็นถูกใจท่านผู้เฒ่าผู้รักการร่ำสุราเป็นนิจ อีกฟากหนึ่งพ่อครัวแม่ครัวก็หัวหมุนหัวปั่นอยู่กับมื้อเย็น พี่ตะวันจอมยุทธหน่อไม้ขุดหน่อไม้มาให้เราทำกับข้าวด้วย มื้อนั้นเราพยายามกำจัดของสดจนเกือบหมด ปลาขึ้นราก็นำมาขึ้นเหลากับเขาด้วยหลังถูกฆ่าเชื้อด้วยความร้อนและน้ำปลาจากมือป้าแน็ต แม่ครัวเอกของเรากล่าวอย่างมั่นใจว่า“ราขาวอ่ะ กินได้..ไม่เป็นไร” และดูเหมือนความหิว(หรือความไม่รู้)ทำให้เจ้าปลาตัวนั้นหายไปในพริบตาที่ตั้งโต๊ะ ผัดหน่อไม้ของพี่ตะวันก็ขายดีเมื่อได้รสมือของพี่แน็ต เกลี้ยงแม้แต่คนขุดยังไม่ได้กิน ตอนเตรียมกับข้าว ฉันแอบอู้งานไปดูพระอาทิตย์ตกแวบหนึ่ง พระอาทิตย์ตกกลางทุ่งหญ้าช่างงามแปลกจากเมื่อเห็นข้างล่าง บรรดาดอกไม้ที่เราเดินผ่านเมื่อตอนกลางวันก็คงหยุดพักการแสดงเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มหรี่ลงเช่นกัน
ธารน้ำเล็กแบบนี้ทำให้ฉันไม่ประทับใจการอาบน้ำนัก จึงไม่ค่อยได้ใช้เวลาอ้อยอิ่งกับบรรยากาศรอบตัวสักเท่าไหร่ และอากาศคืนนี้ค่อนข้างเย็น วงเหล้ายังคงดำเนินต่อไปไม่ลดละ ที่เพิ่มมาคือเสียงเพลงของลุงแขกที่ขับขานอย่างไม่ขาดสาย เนื่องด้วยแฟนเพลงขอเพลงกันเยอะเหลือเกิน รอบตัวมืดสนิทแต่เพียงนอนลงมองขึ้นไปบนฟ้า ไฟนับล้านก็พร้อมใจกันเปิดต้อนรับเรา พี่อุ๊ชวนลุ้นว่าเครื่องบินจะบินชนดาวดวงใดหรือเปล่า? เพราะท้องฟ้าบนเขาใหญ่นี่เต็มไปด้วยเครื่องบินเปิดไฟวิบๆ แข่งแสงกับดาวลอยผ่านไปผ่านมาจนน่าจะชนดาวสักดวง พลันสายตาก็มองเห็นดาวตก เขาบอกเห็นดาวตกให้อธิษฐาน ฉันไม่ได้อธิษฐานอะไร เพราะมัวแต่ตื่นเต้นจนนึกคำอธิษฐานไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร ยังมีเจ้าพ่อเจ้าแม่ข้างล่างเขาให้เราขออะไรอีกเยอะแยะ ฉันทนความหนาวไม่ไหวอีกต่อไป เลยย้ายที่พำพักจากลานหินใกล้วงเหล้ามาเป็นเต๊นท์ผ้าใบที่พี่อุ๊(อีกแล้ว)เรียกว่าเล้าไก่
เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงไม่อนุญาตให้พี่อุ๊เข้ามาในเล้า เพราะหากพี่อุ๊เข้ามาจะเป็นการจำแนกสัตว์ผิดประเภท(ขอโทษด้วยนะค้า!..) เสียงเพลงยังแว่วมากล่อมถึงเล้าไก่ให้เราหลงอยู่ในภวังค์นิทราหลับไปพร้อมกับดาวและเหล่านักแสดงที่เราเดินผ่านมาเมื่อตอนกลางวัน �
ละลายช้าๆหน่อยได้ไหม:
เวลากลืนกินช่วงความสุขของการนอนไปอย่างรวดเร็ว แสงแรกของพระอาทิตย์แทรกผ่านม่านตาปลุกให้ตื่น เพราะเป็นทุ่งโล่งทำให้ที่นี่ร้อนเร็วกว่าป่าทั่วไป กองพลของเราจึงถอนทัพเร่งออกจากบริเวณนี้โดยพลันตามคำบัญชาของครูนพ แค่เริ่มออกเดินทาง ฟ้าก็ครึ้มทันที นี่ท่านเทวดาเป็นใจให้เดินสบายๆ หรือแกล้งกันให้หัวเปียกกันแน่ เพียงฝนหล่นซู่เท่านั้นทุกคนก็เดินเหมือนบั้งไฟพุ่งมุ่งสู่สมอปูน ตลอดทางแทบจะไม่ค่อยได้พักทั้งๆ ที่เป็นทางขึ้นตลอด ป่าหญ้าก็บาดผิว ใบเฟิร์นหยาบก็ระคายเนื้อ ดูเหมือนฝนจะทำให้ทุกคนลืมเรื่องพวกนี้ไปเสียสนิท เดินจ้ำอ้าวเพียงแป๊บเดียวเราก็ถึงจุดหมายด้วยเวลาอันสั้น ขอบคุณคุณฝนที่ตกมาให้เย็นฉ่ำใจฉ่ำกายคลายร้อนทำให้การเดินทางครั้งนี้มีความทรงจำชุ่มฉ่ำเก็บไว้เพิ่มอีกรส ทั้งแดดแผดเผา ทั้งฝนชื้นแฉะและอากาศหนาวร้าวกระดูกทำให้ชีวิตมีรสชาติ มีมิติมากขึ้น ยังไม่รวมน้องเห็บที่ออกมาทักทายพี่ๆ ให้ชีวิตมีแสบๆ คันๆ เพิ่มอีกด้วย(ไม่ทราบว่าได้น้องเห็บเป็นของที่ระลึกกันคนละกี่ตัว แจ้งให้ทราบกันบ้าง!!!)
หลังจากตั้งแค้มป์เสร็จแล้ว แม่ครัวหัวป่าก์ของเรา นำโดยพี่แน็ตก็คิดเมนูอาหารมื้อเกือบสุดท้าย เราจะต้องทุบหม้อข้าวแล้วล่ะวันนี้ เพราะพรุ่งนี้จะต้องไปสู้ศึกกับทางลาดชัน จึงต้องเตรียมกำลังไพร่พลของเราให้มั่น ว่าแล้วปลากระป๋องทุกกระป๋องก็ถูกเปิดออก ทั้งมาม่าและอาหารที่ได้รับความอนุเคราะห์จากทีมลุงแดงที่ลงไปก่อนทิ้งเอาไว้ให้ มื้อนี้มื้อใหญ่ทีเดียว เมื่อเสร็จจากงานครัว แดดร่มลมตกพี่อ๋อก็นำทีมน้องๆ ไปทำกิจกรรมกลางลานหิน ฉันเพลินกับการถ่ายรูปเหลือเกิน และแอบเข้าข้างตัวเองว่าเหมือนดอกไม้ทั้งทุ่งบานเพื่อฉัน ดุสิตากอนั้นก็สวย สร้อยสุวรรณาก็งาม ม้าวิ่งก็ออกดอกชมพูอมม่วงบานประชันกัน กระดุมเงินก็ละลานตา ถ้าฉันแปลงร่างเป็นหมาได้ ฉันอยากจะเอาตัวถูๆ ไถๆ กลิ้งไปกลิ้งมาอย่างสุขใจแล้วมานอนหอบแฮ่กๆ ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ายามเย็นจนผล็อยหลับเพราะลมเย็นนั่นเอง แต่ฉันไม่ใช่หมาเลยอดทำแบบนั้น ขืนทำคงจะถูกประณามเพราะทำให้ดอกไม้เสียหาย หมดความงาม เลยได้แต่เก็บไปฝันคนเดียว คนเดียวจริงๆ เพราะคงไม่มีใครคิดพิเรนทร์แบบฉัน(แฮ่ๆ) เย็นวันนั้นทุกคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว น้องๆ ได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลบนโลกจากกิจกรรมที่พี่อ๋อจัดให้ จะได้มากได้น้อยก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละคน ฉันอยากจะซึมซับบรรยากาศแบบนี้ให้นานเท่าที่จะนานได้ เพราะมันเป็นไอติมก้อนสุดท้ายแล้ว ใครๆ ก็อยากให้รสของไอติมอวลอยู่ในปากให้นานที่สุด สุขกับความอร่อยของมันให้นานเท่าที่จะทำได้
เมื่อตะวันลาลับกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว เราก็ตั้งแถวเดินกลับเพื่อเริ่มมื้อค่ำของเราเช่นกัน เหล้าร่อยหรอไปมาก น่าสงสารคอทองแดงทั้งหลาย แต่เรายังมีความบันเทิงจากกีตาร์อีก วงเหล้าไม่ครึกครื้นเท่าเมื่อวาน แต่วงดนตรีกลับคึกคักแทน ดาวเด่นของคืนนี้คงเป็นอาจารย์ชุมพล
เนื่องจากขณะเดินขึ้นมา อาจารย์ช่วยคลายความล้าโดยเต้นรูดเสาให้ดูเป็นที่สนุกสนาน คืนนี้เราจึงอยากจะชมการแสดงรูดเสาของอาจารย์อีก แต่ของดีมีครั้งเดียว คนที่ไม่ได้ดูเมื่อตอนกลางวันเลยอด วงดนตรีคืนนี้เวียนมาเล่นหลายวง เริ่มวงเพื่อชีวิต ต่อด้วยวงสตริง ตามมาด้วยลูกกรุงปนลูกทุ่ง และตบท้ายด้วยวงเพื่อชีวิต วง“THE BROKEN” (แปลตรงตัวว่า วงแตก) ร้องนำโดยนักร้องชื่อดัง ราเมศ โอชา(ลุงแขกหัวฟูหนวดยาวนั่นเอง) เพียงลุงแขกเริ่มร้อง โอ้เจ้าดวงจำปา…เพียงแค่นั้นสติฉันก็หลุดไป หลับใหลยันเช้า ไม่รู้ว่าตลาดคนดนตรีวายเมื่อไหร่
โคนกรอบ ความอร่อยครั้งสุดท้าย :
เมื่อวานฉันกินไอติมก้อนสุดท้ายหมดไปแล้ว ความอร่อยครั้งสุดท้ายของฉันเหลือแต่โคนกรอบที่เคยโอบเลมอนเชอเบทของฉันไว้ เช้านี้อากาศดีจนหลายคนต้องออกไปชมทุ่งดอกไม้อีกครั้ง ฉันเพียงแต่จิบกาแฟ และนั่งมองเพื่อนร่วมทริปล่องลอยอยู่ในโลกส่วนตัวยามเช้า บ้างก็ตื่นไปล้างขี้ฟัน บ้างยังนอนคุดคู้หน้ากองไฟ บ้างก็หาของกิน ไม่ก็เริ่มเก็บสัมภาระ ใช่!.. วันนี้เราต้องทำให้สัมภาระไม่เป็นภาระ เพราะจะต้องคลานสี่ตีนลงจากเขา
เมื่อเป้แนบหลัง เราก็ชักแถวเดินผ่ากลางทุ่ง ฉันอำลาทุ่งดอกไม้ของฉัน(คิดเอาเองว่ามันเป็นของฉัน) หวังว่าเราจะได้พบกันอีก ก่อนจะลงเขา เราแวะดูทุ่งงูเหลือม ผืนป่าเขียวห่มหมอกด้านล่างที่ดูยังไงฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะเข้ากับชื่องูเหลือมเท่าไร ตรงนี้น่ะหรือที่เขาคิดจะฆ่ามันเพื่อทำเป็นเขื่อน ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าป่าเขียวแน่นขนัดด้วยต้นไม้และสิ่งมีชีวิตที่มีค่าเกินกว่าจะประเมินออกเป็นตัวเลขได้นั้นจะถูกแทนที่ด้วยเจ้าเขื่อนยักษ์ สิ่งไร้ชีวิตที่ทำเป็นอย่างเดียวคือทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิต รวมทั้งมนุษย์ อย่างไรเสียเรื่องเลวนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น ฉันจึงคลายใจลง จุดชมวิวต่อมาเป็นหน้าผาที่เบื้องล่างเป็นสระเก็บน้ำคอนกรีต ดูยังไงก็ขัดกับบรรยากาศรอบๆ ที่โอบด้วยสีเขียวของป่าไผ่ชุ่มฝน สำหรับฉันมันเป็นวิวที่ไม่สวยเลย หรือจะเรียกให้สะใจคือ อัปลักษณ์
เมื่อเริ่มลงเขา ฉันก็ตระหนักว่าชีวิตขาลงนั้นลำบากเพียงใด ฉันกลายเป็นเต่าสี่ตีนมุงกระเบื้องหลังตุงด้วยกระเป๋าเป้ที่ถือมาเป็นภาระ ขอบคุณพี่ชัช หนุ่ม(หรือเปล่าหว่า?)จากเมืองตรัง ที่ช่วยยืนเป็นเสา ดอริกกลางวิหารพาเธนอนให้ฉันเกาะ มิฉะนั้นฉันอาจจะล้มกลิ้ง ใช้ทางลัดถึงด้านล่างโดยง่ายได้ หลายคนชอบทางลัดทางด่วน แต่กรณีนี้ฉันขอไปทางธรรมดาดีกว่า ทางด่วนไม่ได้กินเงินฉันหรอก และในที่สุดพวกเราก็ลงมาถึงคลองต้มกาแฟในที่สุด เย้!…คลองนี้เป็นเหมือนผิวน้ำเคลือบบนผิวดินเท่านั้น แต่เราก็พยายามตักน้ำมาต้มมาม่า กาแฟกันจนได้ น้องๆ หลายคนหิวโซ สาวๆ ก็เริ่มกลายเป็นดอกไม้แล้งน้ำ
เมื่อท้องอิ่ม เราก็ออกเดินต่อ เพียงไม่กี่ก้าวจากคลองต้มกาแฟ ฉันได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ ใจฉันโบกบินไปตามเสียงนั้น เพราะนั่นหมายถึงเรากำลังจะออกไปสู่ถนนแล้ว จะได้พัก จะได้กินเป๊ปซี่เย็นๆ จะได้กินอาหารที่ไม่ใช่มาม่าหรือปลากระป๋องและจะได้นอนที่นอนนิ่มๆ แต่แล้วใจที่พองโตเมื่อกี้ก็ค่อยๆ ฟีบ…ลง ฟีบ…ลง ทำไมเดินออกไปไม่ถึงสักที เหนื่อยแล้วนะ เมื่อยแล้วนะ หรือเสียงมอเตอร์ไซค์ที่ได้ยินเมื่อกี้เพราะฉันหูฟาด เหมือนคนหิวน้ำกลางทะเลทรายแล้วเจอมิราจเป็นโอเอซิส สุดท้ายไปถึงก็เหลือแต่ความว่างเปล่า โอ้…ยังไม่ถึงอีกหรือ ฉันลากขาเดินไปเรื่อย ฟ้าเริ่มมืดลงไปทุกก้าวๆ นั่นๆ เสียงรถยนต์ คนที่ออกไปถึงถนนโห่ร้อง “ถึงแล้ววววววววว….” หัวใจฉันพองโตขึ้นอีกครั้งราวกับได้รับน้ำหยดแรกหลังจากเดินหลงในทะเลทราย ถนนทอดยาวเบื้องหน้า ฉันทรุดนั่งลงสัมผัสมัน ความรู้สึกลังเลใจบังเกิดขึ้น นี่ฉันควรดีใจหรือเสียใจกันนี่ ดีใจที่จะได้ออกมากินอิ่มนอนอุ่น หรือเสียใจที่ไอติมของฉันหมดลงแล้วจริงๆ โคนกรอบถูกกินหมดแล้ว เหลือเพียงความทรงจำอันงดงามกับไอติมเลมอนเชอเบทราดซอสราสเบอร์รี่สีม่วงฉ่ำอืม…ฉันเลียริมฝีปากเก็บความสุขครั้งสุดท้าย
รักแรกพบหรือ? ให้ฉันได้ใช้คำนี้กับเธอนะ“สมอปูน” หวังว่าคราวหน้าฉันจะได้ทอดสมอ ชมเธอได้นานกว่านี้ เปิดใจทำความรู้จักเธอให้ดีกว่านี้ โลกคงพาเราโคจรมาพบกันใหม่อีกครั้ง ให้ฉันได้ชิมไอติมอร่อยๆ อีกสักครั้ง…
โน๊ตแด่คนขายไอติม:
ขอขอบคุณครูนพ ลุงแขก พี่แน็ต พี่อ๋อ พี่นิม พี่ยุ้ย พี่อุ๊ พี่เก่ง อาจารย์ชุมพล พี่ด้วง พี่จุ๊ พี่ตะวัน พี่ฉุย พี่น้อง พี่ๆ จากทีมของลุงแดง พี่ซอจากยะลา พี่ๆ เจ้าหน้าที่ป่าไม้น้องๆ จากฝั่งปราจีน
สักทอง(หนุ่มน้อยคนเดียวจากปากช่อง) น้อย เพื่อนฮัท เพื่อนหวาน (ขออภัยหากจำไม่หมด) ที่ขายไอติมอร่อยๆ ให้นะคะ ขอบคุณจั๊ดนักเจ้า… ^____^
๕๕๕ สังขารา ไม่เที่ยงแต่มืดเลยทีเดียว จะขึ้นไปเยี่ยมได้อีกสักกี่ครั้งน้อ..
เธอว่ามันเหมือนไอติมเหรอ เราว่ามันเหมือนน้ำพริกนะ ยังเผ็ดอยู่เลย ซี้ด..อูย
ไอติมรสน้ำพริกไง!!! ผลิตได้คงขายดีนะ…
ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงทั้งสามท่านที่เข้ามากินไอติมด้วยกันอีกครั้งในหน้านี้นะคะ หรือเราจะอร่อยอยู่กันแค่สี่คนเองอ่ะคะ