ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงอุ้มผาง

ตั้งแต่วันที่จะกลับจากค่ายหมอยาน้อย พี่อ๋อก็ประชาสัมพันธ์ว่าจะมีโครงการไปที่อุ้มผาง จะให้สิทธิ์น้องๆ ค่ายหมอยาน้อย ๑๐ คน ตอนนั้นชวนเพื่อนๆ สมัครกัน เพราะอยากจะไป แล้ววันที่พี่อ๋อเข้าไปหาที่โรงเรียนแล้วบอกว่า ให้เกริ่นกับพ่อแม่ว่าจะไปที่อุ้มผางพี่อ๋อให้สิทธิ์พวกเราที่ไปค่ายหมอยาน้อย ๑๐ คนแต่ให้สิทธิ์ ๕ คน ตอนนั้นเริ่มหวั่นๆ ใจ ว่าจะได้ไปไหมนะแต่ก็กลับบ้านมาบอกแม่ก่อนเลยเป็นลำดับแรกเลย เล่าให้แม่ฟังว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แม่ก็เป็นห่วงเหมือนจะไม่ให้ไป แต่แม่ก็เปลี่ยนใจให้ไป เพราะอยากให้ไปหาประสบการณ์ คำที่แม่บอกคือ “เราโตแล้วถึงแม่เป็นห่วงมากแค่ไหนแม่ก็ต้องปล่อยให้เราไปลองใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แม่ไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดเวลาหรอก โตแล้วก็คิดให้ดีอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ และก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ มีอะไรก็โทรมาหาแม่ แม่จะได้รู้ว่าเราทำอะไร ที่ไหน อย่างไร” แม่สั่งการไว้ตั้งแต่ยังไม่รู้เลยว่าเราจะได้ไหม

พี่อ๋อมาโรงเรียนอีกครั้งก็บอกว่าให้สิทธิ์ ทุกคนที่ไปค่ายหมอยาน้อยเลย วินาทีนั้นดีใจมาก ไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้ พี่อ๋อก็ถามว่าได้ไปเกริ่นกับพ่อแม่ยัง หนูนี่ยกมืออย่างมั่นใจ ก่อนจะไปก็มีกิจกรรมที่ชุมนุมอนุรักษ์ได้จัดทำขึ้นโดยมีคุณครูเบญจมาศ โยธินทวี คอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือทุกอย่าง จัดกิจกรรมนวดฝ่าเท้าเพื่อสุขภาพ เพื่อนำสิ่งที่เขาเอามาบริจาคไปให้กับน้องๆ ที่อุ้มผาง มีแจกไอติม หลอด เล่นกีต้าร์ ใช้เวลาพอสมควรเลยกว่าจะได้จัดกิจกรรมนี้ มีขัดแย้งกัน มีปัญหาต่างๆ เพราะไม่เคยทำกิจกรรมแบบนี้นอกสถานศึกษา เป็นความท้าทายที่ทำแล้วมีความสุข ได้เงินบริจาค ๒,๐๑๔ บาท ถึงเงินจำนวนนี้จะไม่ได้มากมายแต่พวกเราก็ทำด้วยใจ และคณะคุณครู ๖,๐๐๐ บาท
การเดินทางของโครงการธารน้ำใจจากปลายน้ำสู่ต้นน้ำโดยกลุ่มรักษ์เขาใหญ่ร่วมกับตูกะสู คอทเทจ ซึ่งหนูได้รับโอกาสที่ดีจากกลุ่มรักษ์เขาใหญ่ที่ได้มาร่วมในโครงการนี้ เริ่มออกเดินจากโรงเรียนประจันตราษฎร์บำรุง เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น. ออกจากปราจีนบุรีมาถึงที่อำเภอปากช่อง นครราชสีมา รู้สึก ตื่นเต้นที่จะได้ไปที่โรงเรียนบ้านกรูโบ ตลอดการเดินทางจากปากช่องจนถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ได้แวะกินข้าวที่ร้านกมลวรรณ จังหวัดนครสวรรค์ พี่อ๋อได้เลี้ยงไอติม และแวะปั๊มต่างๆ เป็นระยะ การเดินทางในครั้งนี้มีเพื่อนๆ ของหนูไปด้วยอีก ๕ คน พวกเรานั่งท้ายกระบะ ตากลมเย็นๆ เป็นการนั่งรถที่เต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ เสียงเพลงที่ร้องกันขณะนั่งรถแบบไม่จบสักเพลง ทั้งผิด ทั้งเพี้ยน นั่งนานๆ ก็จะรู้สึกปวดคอ ปวดหลัง ปวดไปทั้งตัวเลย ยิ่งดึกๆ อากาศก็ยิ่งหนาวแต่ยังดีที่พี่อ๋อกับพี่นิมให้เสื้อกันหนาวมา ๑ ตัว ถุงนอนอีก ๕ ถุง และผ้าร่มไว้คลุม ในตอนแรกก็ใช้ถุงนอนรองนั่ง นั่งรถนานที่สุดที่เคยนั่งเลย และโค้งเยอะมากตรงทางจะมาถึงอุ้มผาง ทำให้รู้สึกว่าถ้าไม่นอน ก็น่าจะเมารถและอ้วก มาถึงที่ตูกะสู คอทเทจ ในตอนเช้าของวันใหม่ นั่งรถเหนื่อยมาก(แต่ก็คิดในใจว่าคนขับรถน่าจะเหนื่อยกว่าคนนั่งแน่นอน) จากนั้นก็ได้อาบน้ำ และด้วยความที่หิวข้าวเช้าแต่ไม่รู้จะไปกินที่ไหน เพราะยังไม่เคยมาที่นี่เลย แต่โชคดีมากที่พี่กิ๊ฟถามว่า “หิวข้าวกันไหม” วินาทีนั่นตอบกลับอย่างรวดเร็ว “หิวค่ะ” ไปหากินข้าวที่โรงอาหารของตูกะสู อิ่มมาก จากนั้นก็มานอน และก็ตื่นไปหากินข้าวกลางวัน ตอนเย็นพี่อ่อก็บอกว่าจะพาไปดอยหัวหมดเอาเสื้อกันหนาวไปด้วยนะ แอบคิดว่าต้องหนาวแน่ๆ ตอนแรกคิดว่าพี่ๆ จะพาไปท่องเที่ยวสถานที่ที่น่าสนใจที่ธรรมชาติมีความสวยงามมากในอำเภออุ้มผาง แต่พอจะไปถึงดอยหัวหมดพี่ๆ ก็ให้เอาเสื้อกันหนาวปิดตา ละก็นั่งรถไปอีกนิดนึงและก็ลงเดิน ตอนนั้นใจสั่นๆ สัมผัสได้ว่ากำลังเดินขึ้นที่สูงที่มีหิน และพอพี่อ๋อจัดตำแหน่งให้ยืนแล้วให้เงียบฟังเสียงที่เราได้ยินแล้วจินตนาการว่าภาพที่เราจะเห็นต่อไปนี้เป็นยังไง สิ่งที่สัมผัสได้คืออากาศดีมาก ได้ยินเสียงลม เสียงนก หนูได้จินตนาการว่าภาพข้างหน้าหนูต้องเป็นภูเขาหัวโล้นแน่ มีบ้านคน ถึงได้ชื่อว่าดอยหัวหมด แต่พอเปิดตาเท่านั้นแหละ โอ้โห้ สวยงามตามธรรมชาติสร้างขึ้นมาก มองไปรอบๆ ตัวก็มีแต่ต้นไม้สีเขียว ถึงแม้ในช่วงที่หนูไปจะเป็นฤดูแล้งก็ตาม กลับมาที่พักก็มาอาบน้ำ กินข้าวเย็นร่วมกับพี่ๆ ตื่นเต้นมาก ทำอะไรก็จะเอ๋อๆ หน่อย
เข้าสู่เช้าวันที่ ๒ วันนี้ก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือพี่นิม พี่เปรี้ยวและพี่คนอื่นๆ จะพาไปท่องเที่ยวที่ “น้ำตกทีลอซู” ดีใจมากเพราะถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามของอุ้มผาง หลังกินข้าวกลางวันเสร็จก็ได้เตรียมชุดไปเปลี่ยน เตรียมเสื้อชูชีพเนื่องจากว่ายน้ำไม่เป็นและเพื่อความปลอดภัย เริ่มออกเดินทาง ไปแวะที่เซเว่นซื้อของกินก่อนมุ่งหน้าไปที่หน้าประตูทางเข้าน้ำตกทีลอซู ก็ได้ลงชื่อ เสียค่าผ่านด่าน นั่งรถเข้าไปอีกประมาณ ๒๖.๕ กม. โดยเส้นทางก็มีถนนนิดหน่อยในบางช่วงและก็เป็นถนนดินที่มีหินก้อนใหญ่ๆ ขึ้นเนิน ลงเนิน โค้งซ้าย โค้งขวา ใจหายวูบในทุกๆ โค้งที่เป็นตัว S พอไปถึงที่ก็คิดว่าจะถึงแล้ว แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด พี่ฝน พี่นิม แนะนำให้กินข้าวก่อนเดี๋ยวจะไม่มีพลังเพราะต้องเดินเท้าเข้าไป ๑.๕ กม. กินข้าวไปครึ่งกล่องและก็เริ่มเดินเข้าไปโดยมีข้อห้ามคือห้ามนำพลาสติก ขวดน้ำ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดขยะเอาไปในน้ำตกทีลอซู เดินไปจนถึงครึ่งทางเริ่มเหนื่อยและปวดขา แต่ก็เดินจนไปถึงน้ำตก ภาพที่เห็นตรงหน้าคือสวยงามมาก บรรยากาศเย็นสดชื่น สายน้ำที่ไหลมาจากภูเขาสูงลงมาสู่พื้นล่าง เสียงน้ำแค่ได้ฟังก็รู้สึกว่าสดชื่น จากนั้นก็ทำการพิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดไว้จริงไหม จึงเปลี่ยนชุดลงไปสัมผัสความสดชื่น น้ำเย็นมากถึงจะอยู่กลางแสงแดด สัมผัสไปนานๆ เริ่มหนาวและสั่น จากนั้นก็เดินกลับมายังรถที่จอดไว้ กินข้าวอีกครึ่งกล่องเพราะเล่นน้ำเหนื่อย ก็เดินทางกลับที่พัก มาเล่นเปตอง ซักผ้า และก็กินข้าวร่วมกัน ประชุมนัดหมาย แล้วก็กลับไปอาบน้ำ นอน
ตื่นเช้ามาวันที่ ๓ วันนี้จะไปล่องแก่งต้นแม่น้ำกลอง ดูความสวยงาม ความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยล่องแก่งเลย เป็นบรรยากาศที่ดีและสวยมาก อยากจะเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ดูมากแต่กลัวโทรศัพท์จะเปียกน้ำ แถมโดนพี่อ๋อแกล้งให้วิดน้ำออกจากแพ ซึ่งแพมันมีรูให้น้ำเข้าอยู่แล้ว แต่ด้วยความเป็นผู้นั่งจึงวิดออกด้วยรองเท้าอย่างเร่งรีบ คิดแล้วก็ขำตัวเอง แล้วก็ได้ผ่านน้ำตกทีลอจ่อหรือน้ำตกสายรุ้ง พี่ๆ บอกว่าถ้าได้โดนน้ำตกที่นี่ให้ขอพรแล้วจะเป็นจริง หนูก็ได้ขอ……… และก็ไปถึงจุดที่เป็นบ่อน้ำพุร้อน ก็โดนแกล้งให้ลงกลางน้ำแล้วเดินขึ้นฝั่ง เปียกเกือบทั้งตัว น้ำเย็นมาก ไปที่ตรงน้ำพุร้อน คือร้อนมากตอนแรกแต่พอนั่งไปสักพักก็จะรู้สึกถึงความอุ่น จากนั้นพี่ๆ ก็ได้ซื้อมันเผา ไข่ปิ้ง น้ำ ให้กินไม่รู้ว่าอร่อยหรือหิว กินแบบไม่เหลือเลย กลับมาที่พัก ก็ได้เจอพี่ๆ จากมหาลัยต่างๆ ได้มีการจัดเตรียมสิ่งของที่จะนำขึ้นไปให้น้องๆ จากนั้นไปอาบน้ำ ก่อนจะไปล้างศาลเจ้าพ่ออุ้มผางก็ได้มีการแบ่งกลุ่มให้เป็น ๖ กลุ่ม ซึ่งต้องไปอยู่กับพี่ๆที่มาจากต่างมหาลัย หนูก็เลือกอยู่กับพี่จูน นิติศาสตร์ปี ๔ และ พี่เบ๊นซ์ สาธารณะสุขปี ๒ เหตุผลเพราะพี่จูนกับพี่เบ๊นซ์น่ารัก เวลามองหน้าพี่จูน พี่จูนก็ยิ้มให้ตลอด และเป็นคนที่ยิ้มสวย จากนั้นก็ไปยังศาลเจ้าพ่ออุ้มผาง กลุ่มของหนูเลือกเก็บขยะ ก็เดินเก็บขยะรอบศาล ข้างหน้าศาลที่เป็นเนิ่นลงที่ชันและลื่นมาก จากนั้นก็ไปล้างจาน และเข้าไปกราบศาลพะวอ จากนั้นก็กลับมาที่ตูกะสู รอเวลาไปที่ดอยหัวหมดอีกรอบ เพราะมีพี่ๆ จากมหาลัยยังไม่เคยมาที่นี่จะมีการรับสมาชิกใหม่ เหมือนที่พวกหนูเคยไปในวันแรก เริ่มออกเดินทาง พอไปถึงก็รู้สึกแปลกๆ เพราะดอยหัวหมดรอบนี้เป็นคนละจุดกับที่พวกหนูไป ถือว่าเป็นความโชคดีไปอีกอย่าง กลุ่มหนูพี่จูนกับพี่เบ๊นซ์ ยังไม่เคยมาทั้งคู่ ทั้งสองคนจึงถูกปิดตา จากนั้นก็ลงรถ มือทั้งสองข้างก็จับมือพี่จูนกับพี่เบ๊นซ์ แต่ด้วยระยะทางและความชันจึงต้องเลือกพี่แค่คนเดียว เพราะไปงั้นไปไม่ถึงกันสักคนแน่ๆ พี่เบ๊นซ์มีพี่แฟงแล้ว หนูเลยพาพี่จูนเดินขึ้นไป พี่มิ้นก็มาช่วยพาเดิน หนามก็บาดปากนิดนึง เหยียบหนามด้วย เนื่องจากพาพี่จูนเดินผิดทาง กว่าจะถึงปวดขามาก ทางชันและลื่นมากๆ คอยถามแต่พี่จูน “พักไหมพี่” จนพาพี่จูนเดินไปถึงที่หมายเป็นคนแรก(ที่เดินไปถึงเป็นคนแรกไม่ใช่ไรหรอก มีพี่สองคนเดินไปถึงแล้วแต่พี่อ๋อให้เปลี่ยนที่ หนูกับพี่จูนอยู่ใกล้ที่หมายใหม่เลยไปถึงก่อน)  แต่พี่เบ๊นซ์ไปถึงคนสุดท้าย จึงถ่ายรูปด้วยกันทั้งสามคน แล้วก็เดินขึ้นไปอีก เป็นจุดที่สวยมาก จากนั้นก็มีกิจกรรมให้หลับตาแล้วฟังเสียงธรรมชาติ รู้สึกรักธรรมชาติมากยิ่งขึ้น อยากดูแลให้คงอยู่แบบนี้ตลอดไป อยากกลับมาอีกกี่ครั้งก็ยังคงสวยอยู่แบบนี้ ซึ่งทุกอย่างก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จากนั้นเป็นกิจกรรมพี่พาน้องไปหาสถานที่แห่งภาพความทรงจำ โดยให้พี่จูนกับพี่เบ๊นซ์ปิดตาหนู พาเดินไปซึ่งทางมีหนามเยอะมาก ทางชันและลื่น พอถึงจุดหมายพี่ๆ ก็เปิดตาให้ สิ่งที่เห็นคือมีต้นไม้ ๒ ต้นที่เคียงคู่กัน ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า พี่จูนก็บอกว่าทำไมพี่ๆ ถึงได้เลือกจุดนี้ให้เป็นสถานที่แห่งภาพความทรงจำของเรา “ระหว่างทางที่มีหนามมากมาย เหมือนอุปสรรคที่เรากว่าจะฝ่าฝันมันมาได้ ถึงแม้มันจะลำบาก แต่เราก็จะเจอปลายทางข้างหน้าที่งดงาม” หลังจากกลับมาที่ตูกะสู ก็เป็นคืนที่สนุกมาก การได้เล่นเปตองกับพี่บัง พี่อันดา และมีพี่คนอื่นๆ ที่เข้ามาดู มันมีความสุขมาก การได้นั่งกินข้าวกับพี่ๆ ซึ่งมานั่งรอเรา เพื่อจะได้กินข้าวพร้อมกัน ดูหนังหัวเราะ ยิ้มไปด้วยกัน พี่ๆ น่ารักมาก อาบน้ำจัดเตรียมเสื้อผ้าของใช้ใส่กระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย

เช้าวันที่ ๔ ได้ลงมาช่วยขนของในตอนเช้า กินข้าวกับพี่จูน พี่เบ๊นซ์ พี่บิว พี่อันดา น้องพลอย เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางเป็นครั้งแรกที่กินยาแก้เมารถ เพราะกลัวว่าจะเมารถมากๆ ซึ่งออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่งยาเมารถเริ่มออกอาการ คือง่วงขั้นสูง เส้นทางช่างแตกต่างกับที่เคยเจอมามาก ยิ่งเข้าไปทางยิ่งขรุขระ โค้งเยอะมาก สิ่งที่เห็นคือบ้านที่นั่นไม่ได้หรูหราอะไรเลย ขอแค่มีที่อยู่อาศัย รถที่ใช้ในการเดินทางก็จะเป็นรถอีแต๋น มอเตอร์ไซด์ส่วนน้อยมากๆ เมื่อถึงโรงเรียนบ้านกรูโบ สิ่งแรกเลยน้องๆ วิ่งมาสวัสดี “สวัสดีครับ” “สวัสดีค่ะ” สวัสดีค่ะน้องๆ ขนของลงจากรถ จัดส่งมอบให้คุณครู จากนั้นก็ได้ไปดูน้องๆ เล่นวอลเล่ย์บอล ดูน้องมีความสุขในแบบของน้อง ไม่จำเป็นต้องมีสนามที่ดี ไม่จำเป็นต้องอะไรที่พร้อมทุกอย่าง แต่น้องๆ ก็สามารถเล่นกันได้ เล่นเก่งกันแทบจะทุกคนเลย เป็นความโชคดีที่ไปวันที่น้องการแข่งขันกีฬาสี ต่อมาได้เดินไปหลังโรงเรียนหาเก็บผักมาทำอาหารเย็น ได้ผักกรูดมามากพอควร แต่หนูเก็บได้ ๕-๖ ยอดเอง เดินตลอดลำธารที่ใสน่าเล่นมาก น้ำเย็นมาก เดินขึ้นไปที่โรงเรียน คุณครู ก็ได้ชวนว่ามีใครจะไปเล่นน้ำกับน้องๆ ไหม ตอนแรกก็ไม่อยากไปเท่าไหร่ เพราะเดินผ่านมาแล้ว ก็คิดอยู่พักหนึ่ง พี่ๆ ก็ชวนไป เลยตัดสินใจไปกันทุกคนเลย เดินออกมาถึงหน้าโรงเรียนมีน้องคนหนึ่งเดินมาจับมือ ความรู้สึกตอนนั้นแบบไม่เคยเจออะไรที่น่ารักแบบนี้มาก่อน ก็ได้ถามชื่อน้อง น้องชื่อฟิวและก็มีน้องแต้วมาจับมือ และก็เดินไปกับน้องๆ จนถึงลำธาร พี่อันดาก็เรียกรวม ตอนนี้มีหนูอยู่ตรงนั้นพอดี พี่อันดาก็ถามว่ารู้ไหมว่าเราต้องเล่นน้ำกับน้อง หนูก็บอกว่ารู้ค่ะ และก็บอกเพื่อนๆ ลงน้ำไปจับน้องๆ ทุกคนสระผม เป็นอะไรที่สนุกมากไม่เคยทำแบบนี้กับใคร มีทั้งยอมให้สระผมดีๆ กับว่ายน้ำหนี แต่สิ่งที่อายๆ น้องๆ ที่นั่นมาก คือ การว่ายน้ำ น้องๆ ที่นั่นว่ายน้ำเป็นทุกคน แม้กระทั่งตัวเล็กๆ ที่พยายามดำพุดดำว่าย อายที่ตัวเองโตกว่าน้องแต่ว่ายน้ำไม่เป็น เป็นการเล่นน้ำที่มีความสุขมาก ได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ได้เจอน้องที่ต่างพ่อต่างแม่ มีทั้งดื้อไม่ดื้อ แต่ก็เป็นช่วงอายุของเขา หลังพาน้องๆ ไปอาบน้ำ มาที่โรงเรียนแจกขนมให้น้องๆ พี่อ๋อกับคุณครูดี้ก็ถามน้องๆ ว่าอยากพาพี่คนไหนไปบ้าน ก็มาพาพี่ไปได้เลยนะ ตอนนั้นในใจคิดว่าอยากไปบ้านน้องๆ มาก จะมีน้องคนไหนอยากพาเราไปบ้านไหมนะ แต่น้องแต้วกับน้องฟิวก็เดินมาหาหนูเป็นคนแรก ความรู้สึกตอนนั้นคือดีใจที่น้องยังอยากให้เราไปบ้านน้อง ก็เดินไปบ้านน้องแต้ว ได้ออกกำลังกายไปในตัวเลย ถึงบ้านน้องก็ได้เดินไปหาแม่น้องที่ใต้ถุนบ้านถามแม่น้องแต้วว่า “ทำอะไรคะ” แม่น้องแต้ว “ถักใบตอง(ลักษณะคล้ายใบหูกวาง) ไปมุงหลังคาตรงที่มันเป็นช่องว่าง” ตอนนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วแอบคิดว่าบ้านเรามีหลังคาที่ดี ทำไมเราก็ไม่พอใจกับสิ่งที่มี เราอยากมีแอร์ มีฝ้า จะได้ไม่ร้อน แต่ที่นี่แค่อยู่ได้แค่นี้ก็พอแล้ว แม่น้องแต้วก็ได้พาไปนั่งบนบ้าน ก็ได้คุยว่าเป็นยังไงบ้างสบายดีไหม แม่น้องแต้วใจดีมาก พูดคุยกันสักพักก็ได้กลับ ไปที่บ้านน้องพุทธ บ้านพ่อแม่น้องใจดี พูดคุยถามเรื่องต่างว่าเป็นไงมาไง จากนั้นน้องๆ ก็พาไปดูโบสถ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน เดินขึ้นเนิ่นไปไม่ไกลมาก ได้ไปกราบไหว้ตามประเพณี จากนั้นเดินกลับลงมา ถามน้องเรื่องต่างๆ ก็ทำให้รู้ว่าวัดที่หมู่บ้านน้องกับหมู่บ้านเราไม่เหมือนกัน ที่หมู่บ้านน้องเหมือนบ้านธรรมดา มีพระภิกษุสงฆ์ ๑ รูป เดินออกมาก็เห็นน้องๆ ตัวเล็กกำลังนั่งเป็นวงกลมเล่นกัน เลยเข้าไปถามว่ากำลังเล่นอะไรกัน น้องบอกว่า ‘เป่ากบ’ ซึ่งเคยสงสัยว่าทำไมน้องหลายคนใส่ยางวงไว้ที่แขน ซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่าใส่ไว้ทำไม ได้รู้เรื่องต่างจากน้องว่าน้องมาเรียนทุกวัน ยกเว้นวันพระจะหยุดเรียน วันโกนเรียนครึ่งวัน จากนั้นก็รีบเดินกลับโรงเรียน ไปเล่นวอลเล่ย์บอลกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่สนามที่เป็นพื้นดินที่มีแต่หนาม บอกเลยตอนแรกที่เห็นเหมือนสนามที่เอาไว้แค่เล่นชั่วคราวไม่ได้เป็นสนามที่สมบูรณ์แบบแต่เป็นสนามที่น้องๆ ทุกคนเล่นเป็นประจำ เล่นได้ไม่นานทุกคนก็เริ่มอ่อนแรง จึงเดินไปที่หน้าอาคารเรียน ทำกิจกรรมต่างๆ กับน้อง เป็นกิจกรรมที่ไม่ได้เล่นแบบนี้มานานมาก เล่นแล้วคิดถึงสมัยที่ตัวเองเป็นเด็ก ที่ยังไม่รู้จักสื่อโซเซียลต่างๆ ทั้งสนุกทั้งเปื้อน คลุกฝุ่นคลุกดิน แต่มีความสุข อาบน้ำกินข้าว แล้วได้ฟังความคิดของคุณครูดี้ ทำให้คิดถึงอะไรหลายๆ อย่าง การดำรงชีวิตบางทีไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย ขอแค่มีความสุขกับสิ่งเราทำก็พอ สอนให้รู้จักทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ สร้างแรงบันดาลใจให้กับหนู เข้านอนในอาคารเรียน โดยมีถุงนอนเพียง ๑ ถุง เราก็สามารถอยู่ได้
ตื่นเช้ามาวันที่ ๕ ก็ได้ทำก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงน้องๆ ที่โรงเรียนบ้านกรูโบ ตอนเตรียมของไม่ได้ลงมาช่วยแต่มาจัดเตรียมใส่ถ้วยให้น้องๆ เห็นน้องๆ อนุบาลปรุงก๋วยเตี๋ยวถึงกับตกใจ น้องๆ ใส่พริกป่นเยอะมาก ตอนสายๆ เริ่มเดินทางไปที่โรงเรียนบ้านตะละโค่ง ซึ่งเลยไปอีก ทางเป็นดินขรุขระตลอดทาง ฝุ่นเยอะมาก พอลงรถเสื้อคลุมถึงกับเปลี่ยนสี ขนของลงพร้อมส่งมอบให้คุณครูตุ๊กแก ได้ฟังประการณ์ต่างๆ จากครูตุ๊กแก ว่า กว่าจะมีเหมือนตอนนี้ต้องลำบากแค่ไหน แต่สิ่งที่ทำนั้น มีความสุขในแบบที่ไม่ต้อง การอะไร ไม่ต้องการให้มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ต้องการให้มีถนนที่ดีๆ เพราะกลัวมันจะไม่สวยงามอย่างนี้ ต้องการแค่หมอ ยารักษาโรค เพื่อช่วยรักษาชาวบ้านในยามจำเป็น ฟังแล้วก็ได้แนวคิด มุมมองที่แตกต่างออกไป น้องๆ ที่นั้น ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพื่อกิน แต่น้องเขากินเพื่ออยู่ ได้เห็นน้องๆ ยิ้ม หัวเราะกัน ดูน้องมีความสุขที่ไม่ใช่ได้มาจากสิ่งของ หรืออะไรต่างๆ หลังจากนั้นก็เข้าไปในหมู่บ้าน มีสถานที่ตามความเชื่อของชาวบ้าน ไปดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่น เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีสมาชิกในบ้านจำนวนมากถึง ๑๐ คน หรือกว่านั้น อยู่กันแบบพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียง ก่อนจะออกจากหมู่บ้านก็ต้องปฏิบัติตามประเพณีของพี่อ๋อ คือให้เดินถอยหลังออกมาพร้อมไหว้เพื่อแสดงความเคารพ ต่อจากนั้นเดินทางกลับมาที่หมู่บ้านทิปาเก หนทางช่างลำบากเพราะรถไม่สามารถเข้าถึง ที่น่ากลัวคือต้องเดินข้ามสะพานไปยังหมู่บ้านทิปาเก ซึ่งมีความยาวประมาณ ๕๐ เมตร สะพานก็เก่า บางจุดก็ชำรุด ใจเต้น ตุ๊บ ตุ๊บ กว่าจะเดินไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง ถึงที่หมู่บ้านก็มีน้องๆ มาเอาขนม นม เรื่อยๆ น้องๆ ที่นี่อยู่กันแบบเรียบง่าย มีอย่างไรก็อยู่กันอย่างงั้น ซึ่งแตกต่างกับเด็กแถวบ้านหนูมาก น้องๆ เก่งกันมาก เลี้ยงน้องที่อายุต่างกับตัวเองไม่มากนักได้ด้วยตัวเอง กลับมาที่โรงเรียนบ้านกรูโบ น้องๆ ก็กลับบ้านกันพอดี ในใจคิดว่าวันนี้อดเล่นน้ำกับน้องๆ แล้ว เห็นมีน้องส่วนหนึ่งเล่นวอลเล่ย์บอลที่สนามเลยออกไปเล่นด้วย น้องๆ เล่นเก่งกันมาก จนบางทีหนูอายเลย ตอนเย็นๆ ก็ไปเล่นน้ำ ดีใจมากแต่ก็แอบคิดน้องๆ คงเล่นน้ำกันแล้ว คงไม่ไปเล่นกับพวกหนูหรอก แต่พอถึงลำธารน้ำ น้องๆ ต่างวิ่งลงน้ำกันอีก ตอนนั้นดีใจมาก มีกิจกรรมเล่นวอลเล่ย์บอล ในน้ำเป็นกิจกรรมที่ไม่เคยเล่น ด้วยความที่น้องๆ ว่ายน้ำเป็นกัน แทบทุกคน ตามวอลเล่ย์บอลไม่ทันน้องเลยแต่เป็นกิจกรรมที่สนุก ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำอะไรแบบนี้ มีความสุขมาก หัวเข่าก็ได้แผลมาพอสมควร กลับมา อาบน้ำ กินข้าว ตอนกลางคืนก็มีกิจกรรมร่วมกับน้องๆ ได้นั่งข้างๆ น้องฟิว กับน้องที่ยังไม่มีชื่อเล่น เพราะน้องที่ยังเล็กอยู่ พูดภาษาไทยได้ไม่มากมีแต่ชื่อจริง สวนใหญ่พูดภาษากระเหรี่ยง หนูได้มีโอกาสตั้งชื่อเล่นให้น้องคนนั้นซึ่งอยู่ ป.๑ ว่า ‘น้องมิว’ เพราะจะได้คล้องจองกับน้องฟิว ที่อยู่ ป.๕ หนูไม่ได้หวังว่าน้องจะใช้ชื่อนี้ไหม เพราะเมื่อน้องเขาโตขึ้น น้องอาจจะตั้งชื่อเล่นให้ตัวเองใหม่ หรือพ่อแม่อาจตั้งให้ ถ้าได้มีโอกาสไปที่โรงเรียนบ้านกรูโบอีก ถ้าน้องคนนั้นยังชื่อมิว ซึ่งเป็นชื่อที่หนูตั้งให้ หนูคงจะมีความสุขมากที่สุดเลย เพราะแค่ได้ตั้งชื่อให้น้องก็รู้สึกมีความสุขแล้ว เหมือนน้องเป็นน้องของหนูคนหนึ่ง ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกัน จนกิจกรรมสุดท้ายก็ยังได้อยู่กลุ่มเดียวกัน พลบค่ำน้องๆ ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน พี่อ๋อก็มีโจทย์มาให้ คือ ให้ทำของที่ระลึกให้น้องในกลุ่ม ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกเพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย ในกระเป๋ามีแต่เทียนวันเกิดตอนแรกจะให้เทียนกับน้องๆ แต่ก็เปลี่ยนเป็นเขียนโปสการ์ดให้น้องๆ ซึ่งข้อความก็เขียนออกมาจากใจล้วนๆ สิ่งที่อยากเห็นคือ อยากให้น้องๆ โตไปเป็นเด็กดี และคิดว่าสิ่งที่น้องมีอยู่มันมีค่ามากๆ จนพี่อิจฉา หลังหมู่บ้านน้องมีลำธาร มีผักผลไม้ต่างๆ มากมายหลายชนิด อยู่กันแบบไม่ต้องใช้เงิน
เช้าวันที่ ๖ รู้สึกไม่ร่าเริงเหมือนทุกๆ วัน เวลาสองวันที่มาอยู่ที่โรงเรียนกรูโบช่างเร็วเหลือเกิน เก็บของ กินข้าว นำของที่ระลึกไปแขวนไว้กับต้นไม้ เล่นเกมร่วมกับน้อง จนถึงช่วงที่จะให้ของที่ระลึกกับน้องๆ ก็ได้เล่นเกมส์ ให้น้องเต้น ยอมรับความกล้าแสดงออกของน้องมาก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงต่างเต้นกันอย่างน่ารัก ตอนให้ของที่ระลึกกับน้องได้บอกกับน้องว่าถึงมันจะเป็นเพียงกระดาษธรรมดา แต่ข้อความที่พี่ๆ เขียนให้ พี่เขียนออกมาจากใจ อยากให้น้องๆเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ช่วงสุดท้ายแล้วพี่อ๋อก็พยายามให้ทำกิจกรรมที่ตลกๆ ฮ่าๆ แต่พอจะกลับจริงๆ น้องๆ ได้ร้องเพลงให้กับพวกหนู พอน้องเริ่มร้องเพลง ความรู้สึกตอนนั้นคือใจเต้นแรงขึ้น หวั่นใจ นึกถึงสองวันที่ผ่านมาที่ได้อยู่กับน้องๆ พยายามจะไม่ร้องไห้เพราะไม่อยากให้น้องร้องไห้ตาม ไม่อยากเป็นคนที่อ่อนแอให้น้องเห็น แต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งพยายามกลั้นก็เหมือนน้ำตายิ่งไหลมาก “เด็กมีหัวใจ ผู้ใหญ่ช่วยระวัง” เพลงท่อนนี้มีอะไรให้เราต้องคิด ทบทวน พอจบเพลง พี่อ๋อพูดลา แล้วให้น้องวิ่งมากอดพี่ๆ ก่อนพวกพี่จะกลับ วินาทีนั้นเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลย รู้สึกไม่อยากกลับ ไม่อยากจากน้อง เป็นการกอดที่อบอุ่นมาก เห็นน้ำตา รอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าจะได้ไปเห็นที่ไหนอีกไหม ได้แต่ร้องไห้และบอกกับน้องว่า “เป็นเด็กดีนะ ตั้งใจเรียน อย่าลืมพี่นะ พี่สัญญาว่าถ้ามีโอกาสพี่จะกลับมาอีก” และยังคงคิดว่าสักวันเราจะต้องกลับมาที่นี่อีก หนูได้ให้ริสแบนด์กับน้องฟิวซึ่งเป็นน้องที่หนูได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างกับน้อง ได้บอกน้องว่าถ้าคิดถึงพี่ก็คิดว่ามันเป็นสิ่งของแทนใจพี่ สุดท้ายมีพบก็ต้องมีจาก บ๊ายบายนะน้องของพี่ทุกๆ คน เดินทางออกมาจากโรงเรียนกรูโบ ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเอาเสื้อแขนยาวที่ใส่มา มาคลุมหน้าแล้วร้องไห้ เราแวะกินข้าวกลางทาง ถึงตูกะสูช่วงเย็น ฝนตกเลยไม่ได้ไปที่ดอยหัวหมดอีก พี่อ๋อก็ได้บอกว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะพาไปดูทะเลหมอก ตอนกลางคืนก็ได้มีการสรุปความรู้สึกของแต่ละคน ได้สอนอะไรหลายอย่าง ซึ่งจี้จุดพวกหนูมาก กินข้าว อาบน้ำ นอน เช้าวันที่ ๗ เป็นเช้าที่หวังว่าจะได้ไปดูทะเลหมอก แต่ด้วยความที่ตื่นช้ากัน และต้องรอกันเข้าห้องน้ำ ทำให้ลงมาช้ากว่าเวลานัดและไม่ได้ไปดูทะเลหมอก ตอนนั้นความรู้สึกแย่มาก แค่การตื่นนอน ก็ไม่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ คิดไปต่างๆ นานา วินัยในตัวเองทำไมมันมีน้อยจัง มานั่งคุยกันหน้ารีสอร์ท ตอนตี ๕.๔๕ น. เหมือนเป็นฝันที่เลวร้ายมากเดินเล่นอยู่บริเวณแถวนั้น จนพี่อ๋อกับพี่ๆ มหาลัยกลับมา ขับรถผ่านพวกเราไป รู้สึกว่าเราควรรักษาเวลาให้มากกว่านี้ ให้คิดถึงคนรอให้มาก มีวินัยในตัวเอง เรื่องนี้สอนอะไรหลายอย่างพอควรเลย …. เดินทางกลับบ้าน ซึ่งตอนกลับจะไม่เหมือนตอนมา สมาชิกจะมากขึ้น สงสารแต่พี่ต้าร์ ที่ต้องนั่งอย่างลำบาก หนทางก็ยังโค้งเยอะแบบตอนมา กลับมาถึงปากช่องตอนตีหนึ่ง พักที่บ้านพี่อ๋อ พี่ชายของพี่อ๋อกับพี่ฝน ดูแลพวกหนูดีมากๆ ตอนเช้าก็พาไปกินข้าว แล้วมาส่งที่เซเว่นประจันตคาม
โครงการธารน้ำใจจากปลายน้ำสู่ต้นน้ำ ทำให้หนูได้ข้อคิดอะไรหลายอย่าง รู้ถึงจุดที่หนูควรจะปรับปรุง จุดที่หนูควรรักษาไว้ เป็นเหมือนแรงบันดาลใจที่คอยผลักดันหนู เวลาที่เหนื่อย ท้อและคิดว่าตัวเองลำบาก ยังมีคนอีกมากมายที่ลำบากกว่าเรา ทำให้คิดเลยว่าคนเราบางทีไม่จำเป็นต้องมีสิ่งของเงินทองที่มากมาย ขอแค่เรามีสุขภาพที่แข็งแรง และมีความสุขในสิ่งที่เราได้ทำ โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้เห็นแนวคิดมุมมองที่แตกต่างออกไป ว่าเราไม่จำเป็นต้องอยู่กับหน้าจอสื่อโซเซียลมากนัก การที่เล่นบอลธรรมดากับเพื่อนเหมือนตอนเราเป็นเด็กมันมีความสุขมาก ไม่ต้องมาเล่นอะไรที่ไม่ได้มีประโยชน์กับเรามากนัก ขอบคุณทุกๆ อย่าง พี่ๆ ทุกคนที่ทำให้หนูได้มีโอกาสได้ไปในครั้งนี้ ขอบคุณมิตรภาพที่งดงามและรอยยิ้มจากน้องที่อุ้มผาง ถ้าความสุขของหนูคือจิ๊กซอ นี่คงจะเป็นจิ๊กซอชิ้นหนึ่งของความสุขหนู ถึงอุ้มผางจะอยู่ห่างไกล แต่ใจเรายังคงจดจำว่าวันหนึ่งฉันและเธอได้ร่วมทุกข์สุขด้วยกัน ความผูกพันธ์ที่มีให้กัน ไม่มีวันใดที่จะลืมน้องๆ ที่นั่นได้เลย จะผ่านไปอีกนานเท่าใด ขอให้ภาพความทรงจำนี้ตรงตรึงในใจของเราทุกคน ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงอุ้มผาง ….

นัท

ปิดการแสดงความเห็น