พวกมันรังแกหน่อง

“พี่ ฝากน้ำมนต์ไว้บ้านพี่สัก ๓-๔ วันได้มั้ย?”
เช้าวันหนึ่ง เก่งพาลูกสาววัย ๔ ขวบ       มีก๊อซปิดตาไปหาพี่หน่อง
“เป็นไรล่ะ เอ็งจะไปไหนเหรอ?” พี่หน่องถามสาเหตุ
“น้ำมนต์เป็นตาแดงพี่ ผมกลัวเมียติด” ห๊า! อย่างนี้ก็มี แล้วใครจะกล้ารับ เค้าก็กลัวติดทั้งนั้น
“เออ ได้ เดี๋ยวดูให้” หือ! พิลึกกว่าเจ้าเก่งก็พี่หน่องนี่แหละ โลกนี้จะมีสักกี่คน…
ปีนั้น(๒๕๔๙) ฝนฟ้าชุกดี โรคตาแดงเลยระบาดหนัก คนนั้นหายคนนี้ก็เป็นต่ออีกผลัดกันปิดตาใส่แว่นดำกันทีละคนสองคน ส่วนอั๋นได้ที่อยากเห็นพี่หน่องเป็นตาแดงบ้างถึงกับแวะเวียนมาถามไถ่หน้าบ้านบ่อยๆ (ไม่กล้าเข้าบ้าน กลัวติด) ก็ไม่เห็นแกจะเป็นสักที
ถึงอย่างนั้น การท่องเที่ยวก็ไม่ได้ซบเซาลงเลย ต้นเดือนกันยาฯ ที่นัดกันไว้ว่าจะไปตั้งแคมป์ที่ ‘ห้วยทับซุง’ ปางสีดา ก็ยังยกขบวนกันไปตามนัด       

“แบรรรร…ไอ่โล้นตาแดง” อั๋นไม่พลาดซ้ำเติมคนเคราะห์ร้าย ที่ทับซุงครั้งนั้นเป็นคิวเจ้าเก่งเป็นตาแดงซะเอง คงติดจากลูกสาวจนได้ “แล้วทำไมพี่แกยังไม่เป็นวะ” อั๋นหาโอกาสเล่นงานพี่หน่องไม่ลดละ น้ำตกทัพยุง เอ๊ย! ทับซุง(ยุงเยอะเป็นบ้า) เป็นน้ำตกเล็กๆ กลางป่าที่มีป่าไผ่เป็นหลัก ระยะเดินเท้าไม่ไกลแต่ไม่ได้มีที่สำหรับตั้งแคมป์ เราจึงถากถางก่อปางพักง่ายๆ ใกล้น้ำตก สำหรับกลุ่มเราไม่กี่คนมีพี่หน่อง พี่แน๊ต หมออุ๊ อั๋นและเก่ง ที่แม้เป็นตาแดงก็ยังมา
อั๋น เด็กหนุ่มที่ได้เรียนวิชาเดินป่าและหลายสิ่งหลายอย่างจากพี่หน่อง เมื่อเรียนรู้ได้พอตัวจึงคิดจะวัดรอยเท้าผู้เป็นครู อยากรู้สึกเอาชนะได้บ้างตั้งแต่เรื่องวิชาป่า วิชาชีวิตไปจนเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สมหวัง ครั้งนี้หากได้เห็นพี่หน่องเป็นตาแดง มันคงจะมีความสุข
“เรื่องอะไรจะเป็น ระวังดีๆ ก็ไม่ติดหรอก” เสียงห้วนๆ แทรกตอบจากเจ๊แน๊ต แกก็หมั่นไส้น้องๆ พวกนี้ไม่น้อย อะแฮ่ม! ทับซุงครั้งนี้เจ๊ก็ต้องมาดูแล ซะมี(สามี)งัย…นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่โรคนี้ไม่อาจแผ้วพานแกได้เลย แต่….
คืนหนึ่ง ข้างกองไฟ พี่หน่องกำลังตั้งสายกีตาร์พลางรินน้ำร้อนจากหม้อสนามข้างกองไฟมาจิบบำรุงเสียงเหมือนที่ทำมาตลอด แต่แล้วเกิดอาการวิงเวียน แล้วโงนเงนเหมือนคนเมาฟุบลงตรงไหล่ภรรยาอย่างหมดรูป สืบสาวมูลเหตุอันยอกย้อนได้ว่า มีขวดรีเจนซีที่กรึ๊บกันหมดแล้วขวดนึง น้องๆ นำไปล้างน้ำตกทั้งห้วยหลายรอบก่อนบรรจุน้ำดื่ม โดยดื่มกันเองเฉพาะเด็กๆ ดื่มจนหมดก็เติมใหม่อีกหลายรอบ กระทั่งมีรอบนึงเราเผลอเทน้ำเติมในหม้อแล้วก็ตั้งหม้อต้มน้ำไว้ตรงกองไฟ แต่ถ้ามีไอเหล้าหลงเหลืออยู่บ้างก็คงระเหิดระเหยไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่น่าเชื่อ มันยังทำให้พี่หน่องเมาร่วงอ่อนระทวยออเซาะเมียต่อหน้าน้องๆ จนเป็นภาพติดตาและเสียงอ้อนติดหู

“แน๊ต…พวกนั้นมันรังแกหน่อง”………………………………………………………….

สัปดาห์ถัดมา เรายังนัดกันขึ้นสมอปูนด้วยกลุ่มใหญ่ขึ้น นำโดยพี่หน่อง มีพี่โก๊ะ อ้อย อโศก เจ๊ริน ดาว ฝน เก่ง อั๋น น้องนัน และคราวนี้โรคตาแดงส่งไม้ไปให้ตาอุ๊
การเดินขึ้นเขาชันๆ ทุกคนคงคุ้นกับอาการหัวใจเต้นหนักหน่วงเหนื่อยหอบใจแทบขาด และเมื่อเป็นตาแดงด้วย นอกจากหัวใจแล้ว เบ้าตาที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงจนแดงฉานยังออกอาการเต้นตุบๆ เหมือนมันจะหลุดจากเบ้าในแต่ละก้าวที่เดิน ต้องค่อยเดินไปพักไปกว่าจะโผล่ขึ้นมาบนหลังแปได้ก็ค่ำมืด ตะเกียงแก๊สถูกประกอบและบรรจุก้อนหินแก๊ส(calcium carbide) ในกระบอกตะเกียงชั้นล่างและเติมน้ำไว้ชั้นบนของชุดตะเกียง เมื่อจะใช้ก็เปิดช่องน้ำปรับความเร็วน้ำหยดจากชั้นบนลงทำปฏิกิริยากับหินแก๊สให้เกิดก๊าซ (acetylene) ไหลตามท่อที่พาพุ่งขึ้นด้านบนสุดก่อนหักงอไปด้านหน้าติดไฟส่องสว่างทางเดิน พี่หน่องรับตะเกียงที่เก่งเตรียมไว้ให้แล้วถือนำทางเดินบนเขาต่อไป

 

“ทางนู้น ทางนู้นต่างหาก จะไปทางซ้ายทำไม” เสียงตาอุ๊โวยวายเมื่อแกเดินตามมาทันเห็นพี่หน่องเบี่ยงไปทางซ้าย เมื่อถึงลานบนสันเขาเหมือนใครก็รู้ทางแต่ถ้าให้พาเดินก็หลุดแทบทุกราย คนอื่นที่รออยู่ด้วยกันก็เริ่มร้อนใจแถมตาอุ๊ก่อม็อบหนักข้อขึ้นอีกให้รุมกดดันพี่หน่อง ซ้ำร้าย ตะเกียงเจ้ากรรมก็ติดแสงริบหรี่ มองแต่ไกลเห็นแกทั้งเขย่า แหย่ท่อตะเกียง จุดไฟแช็คติดไฟตะเกียงที่คอยจะดับทุกย่างก้าวอย่างทุลักทุเล

ทางก็หาไม่เจอ ตะเกียงก็บ๊วยเค็ม น้องๆ ก็ยังเฮงซวยอีก

แกได้ยินเสียงน้องๆ ทั้งกดดันทั้งดุด่าแกตลอดแต่ก็ยังใช้ความสงบพาทุกคนลัดเลาะไปถึงจุดพักแรมจนได้ ตะเกียงบ๊วยเค็มถูกแขวนบนไม้สูง แคมป์พักถูกกางไปตามมีตามเกิดเพราะเหนื่อยกันมากแล้ว และก็ไม่พ้นเป็นพี่หน่องนั่นแหละลืมตาตื่นอยู่ยามให้พวกมันพักผ่อน…

เลยเวลาเช้าไปมาก ตะวันเกือบพ้นยอดไม้อยู่แล้วแต่ที่แยงตาเราตื่นคือแสงตะเกียงแก๊ส มันส่งเปลวพวยพุ่งร้อนแรงเจิดจ้าจนต้องหรี่ตามอง
“แปดโมงกว่าแล้วนะเฮ่ย แสงตะเกียงแสบตาฉิบหาย” อั๋นบ่น
“คราวหน้า ถ้าซื้อแก๊สบอกเอารุ่นสว่างกลางคืนเด้อ ไม่เอารุ่นสว่างกลางวัน” มันไม่มีหรอกนะครับรุ่นสว่างกลางวันกลางคืน แต่พี่หน่องแซวเก่งที่ซื้อมา “เมื่อคืนกูทำสารพัดแม่งคอยแต่จะดับ” เมื่อจัดการกับตะเกียง อาหารเช้าและแคมป์เรียบร้อยแล้ว เราจึงตั้งขบวนสู่คลองฟันปลา
พี่หน่องงงง…อ้อยรองเท้ากัด” เรื่องยุ่งรายวันเริ่มแล้ว เจ๊อ้อยแฟนพี่โก๊ะอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน ตาโก๊ะมีสไตล์การสวมรองเท้าไม่ว่าไปไหนมาไหนคือคอนเวิร์ส ยายอ้อยก็อยากทำอะไรให้ดูเข้าคู่กับสุดที่เลิฟ ใส่ในเมืองไม่เป็นไร แต่เอามาใส่เดินป่ามันเป็นอีกเรื่อง…ทำไงกันดีล่ะ จะออกเดินอยู่แล้ว…
“เอ้า! เอ็งใส่เบอร์อะไร” พี่หน่องถามขนาดรองเท้า แล้วเริ่มจัดการเพื่อความลงตัว สรุปว่าเราจะเดินไปคลองฟันปลาโดย อ้อยสวมรองเท้าเก่ง เก่งสวมรองเท้าพี่หน่อง ส่วนพี่หน่องสวมคอนเวิร์ส ‘ทางใครทางมัน…เท่ฝุดๆ’เดินผ่านสามป่า สี่ลาน สองห้วยกับอีกหนึ่งเขา เราก็มาถึงคลองฟันปลา แคมป์หลักกางขึ้นบนลานหินมีพื้นดินเป็นที่ก่อกองไฟแล้วแยกตาอุ๊ไปผูกเปลนอนห่างไปเกือบสิบเมตรเป็นสถานกักกันโรคโดยอั๋นสงเคราะห์แว่นดำอันงามให้แกใส่ไปเป็นมาเฟียอยู่ไกลๆ นู้น เป็นอันจบเรื่องของแก
เนื่องจากไม่ค่อยได้นอนและจบภารกิจนำทางแล้ว พี่หน่องแยกไปผูกเปลเอนหลังชั่วคราวที่อีกฝั่งลำคลอง เมื่อแคมป์ใหม่เสร็จเรียบร้อย วงสนทนาแกล้มเหล้าก็เริ่มต่อ ขณะกำลังคุยกันออกรส ยายดาวเดินหน้าตาเร่งรีบเข้ามา
“เสียมอยู่ไหน ใครรู้บ้าง?” คำถามบอกสาเหตุอาการร้อนรน
“อยู่นี่!!!” ทุกคนในวงตอบพร้อมเพรียงให้ความร่วมมือ แต่ถ้าได้เห็นทิศทางที่แต่ละคนชี้มือออกไป (คนละทิศละทาง) จะรู้ว่ามันเป็นตรงกันข้ามกับเสียงตอบ
“ไอ้พวกนี้……….” ยายดาวลากเสียงอย่างเหลืออด ก่อนเร่งข้ามน้ำไปด้วยอุปกรณ์เท่าที่มี
ด้านตาหน่องที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ได้ยินเสียงฝีเท้าลุยน้ำ ตุ๋ม ตุ๋ม เสียงเดินฝ่ากอหญ้า สวบ สวบ แล้วขุดดิน ฉึก ฉึก ก่อนมีเสียง แฉ่….แผล็ดๆๆๆ จึงเงยหน้าดู
“อ่าว เฮ่ยยยย!!! ยายดาว เอ็งมาทำอะไรตรงนี้” แกร้องลั่น “เต็มตาเลยกู”
“ฮือ..ฮือ.. พี่ หนูไม่ทันแล้ว” ยายดาวโอดครวญ “พวกนั้นมันแกล้งหนู” การเอนหลังพักของตาหน่องจึงจบลงด้วยการทั้งเหม็นทั้งเห็นถนัด

จะมีคนที่ทำให้ตาหน่องชื่นใจได้ก็คือน้องนัน…ไม่ใช่อย่างนั้น…น้องนันทั้งหาทั้งทำหน่อไม้ได้ขมถูกใจแกจริงๆ ฤดูสมอปูนเป็นช่วงที่อุดมด้วยหน่อไม้ สาวๆ เกษตร (แก๊งอีเกีย .. ตามที่ตาหน่องเรียก) แสดงความเป็นแม่เหย้าแม่เรือนด้วยการหา ขุด หัก ถีบ และเก็บหน่อไม้ได้กองเบ้อเริ่ม ปกติเราจะต้มหลายๆ น้ำเพื่อลดความขมให้กินอร่อย แต่หลายคนรวมถึงตาหน่องชมชอบรสขมของมันมากกว่า ครั้งนี้น้องนันพาเราเผาหน่อไม้จึงได้รู้ว่ามันได้กลิ่นหอมกว่า แถมเร็วกว่าด้วยเพราะไม่ต้องทยอยต้มทีละหม้อ เผาเป็นกองๆ แทน ยิ่งอุปกรณ์สนามก็มีจำกัด
“พวกเอ็งเดินป่ามากันจนหมอยหงอก หัดซื้อหม้อสนามของตัวเองบ้าง” ตาหน่องบ่น “มาทีไรก็ยืมแต่ของข้า” ส่วนที่แกบ่นก็ปล่อยให้บ่นไปแต่ส่วนที่ประหลาดใจคือแกรู้ยังไงว่า….มันหงอกแล้ว…ยายดาว ต้องเป็นยายดาวแน่ๆ

ผ่านคืนวันที่คลองฟันปลาไปสู่คืนสุดท้ายบนสมอปูน เรากลับไปแคมป์ที่สระอโนดาตอันคุ้นเคย
“ไง ผิดหวังล่ะสิ เอ็ง” พี่หน่องยักคิ้วถามอั๋นเบาๆ เพราะรู้ทันว่าคิดอะไรอยู่ คราวนี้ไม่ได้มีเฉพาะอั๋น แต่ตาเก่งกับตาอุ๊ก็ร่วมคอยลุ้นเห็นลูกพี่ใส่คอนเวิร์สเดินสมอปูน(คงไม่ได้เห็นอีกแล้ว) ที่พวกมันลุ้นคือให้แกพลาดลื่นล้มสักดอกสองดอก แต่ต้องผิดหวัง ไอ้คนที่ลุ้นนั่นแหละที่พลาดซะเองเพราะจะเห็นตาเก่งกับตาอุ๊ผลัดกันก้นจ้ำเบ้า ขาชี้ฟ้าจนชินตา เก่งนั้นไม่คุ้นรองเท้าส่วนตาอุ๊น่ะเป็นปกติของแก 
พื้นดินปูหญ้ามอสธรรมชาตินอนนุ่มหลังของสระอโนดาตถ้าได้ฉ่ำฝนล่ะหมายถึงต้องนอนแฉะจมน้ำครึ่งตัว กลุ่มเล็กของเราจึงเลือกผูกเปลนอนกันส่วนใหญ่ส่วนกระโจมและกองไฟก็มีตามปกติ โชคร้าย คืนนั้นฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตา ฟลายชีทผ้าร่มอาจกันฝนตกใส่เปลได้ แต่น้ำฝนยังไหลลงมาตามลำต้นไม้มาถึงสายเปลแล้วสุดท้ายจะค่อยๆ ไหลเปียกตัวเปลตามแรงโน้มถ่วง การป้องกันทำได้ด้วยการใช้ห่วงดักน้ำฝนที่สายเปล แต่ถ้าไม่มีก็อาจใช้ไม้ง่ามที่แข็งแรงและยาวพอค้ำยกสายเปลให้สูงขึ้นก็จะป้องกันได้ แต่การตัดไม้สดขนาดพอเหมาะแม้แต่ท่อนเดียวเพื่อความสะดวกอย่างนี้ พี่หน่องไม่เคยอนุญาตเลย
“ข้าพาพวกเอ็งมาเดินป่า กินใช้อยู่กับมัน แต่ไม่เคยสอนให้พวกเอ็งเอาเปรียบต้นไม้” เสียงติงจากกระโจมเปียกแฉะข้างกองไฟเมื่อเห็นน้องๆ ขยับจะไปตัดไม้ “ร้อนมั่ง หนาวมั่ง เปียกมั่ง ก็ทนเอาดีกว่าไปรังแกมัน”
เด็กๆ จึงต้องชะงัก แต่ฝนเจ้ากรรมทั้งหนักทั้งหนาว บางคนบนเปลถูกน้ำฝนลามเปียกหัวกับเท้าแล้ว สุดท้ายพากันทนไม่ไหวฝ่าฝนไปตัดไม้มาหลายท่อนแจกจ่ายกันไปโดยไม่สนใจสายตาที่มองเงียบๆ พวกเราจึงผ่านคืนแสนโหดนั้นมาได้

รุ่งเช้า ฝนหยุด หมอกหนาทึบ

“พี่หน่องเก็บเป้ไปแล้วนะ” อโศกแจ้งทุกคนที่ตื่นมา
“บอกว่าเราจะลงเมื่อไหร่ก็เก็บของออกเดินไปได้เลย แกรออยู่หัวเขา”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลายวันมานี้แกกล้ำกลืนกับพวกเราแค่ไหน แกโดนตาอุ๊ก่อม็อบว่าแกตั้งแต่เดินขึ้น ด่าเหมือนแกไม่ใช่พี่ แกแบกกลุ่มแก้ปัญหาจิปาถะพาเดินป่าฝ่าแดดฝนสารพัด โดนลองของอีกหลายยก เราทุกคนเป็นน้องแกทั้งนั้น แต่เหมือนแบ่งแยกแกด้วยคำพูดการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่คิดและไม่คิด แกทนมาตลอดจนกระทั่งเมื่อคืน…
มองดูไม้ง่ามค้ำสายเปลที่ตัดมาจากต้นเมื่อคืนทั้งหลายท่อนนั้นก็จะเข้าใจ ต้นไม้ใบหญ้าที่แกรัก น้องๆ ที่แกพาเดินป่าตามวิถีของแก ปลูกฝังความรักต่อชีวิตร่วมโลกที่อยู่ในเส้นทางทุรกันดารที่เราอยากมาเดินกัน ค่ำมืดดึกดื่นถ้าเรายังไหวแกก็พาเดิน เวลาใครเดินไม่ไหวแกก็ทั้งช่วยแบกช่วยกระตุ้นให้ฮึดสู้หรือแม้แต่ยืนรอให้หายเหนื่อยโดยไม่สนใจเวล่ำเวลาจะช้านานเท่าไหร่จนไปถึงที่หมาย เพราะแกคิดและพร่ำสอนว่าตรงไหนเวลาไหนเราก็อยู่ในป่าที่มีชีวิตเกื้อกูลกัน ฉะนั้น ความผิดหวังรุนแรงจึงก่อขึ้นเมื่อแกพบว่าเวลาเราเจอบททดสอบความลำบาก เราเลือกรังแกชีวิตอื่นเพื่อความสบายของตน ที่พร่ำสอนและบำเพ็ญเป็นแบบอย่างตลอดมานั้นไร้ค่า ดังนั้นมีใครในพวกเราบ้างที่จะไม่รู้ว่าที่แกแบกเป้เดินออกไปนั้นแกแบกอารมณ์เจ็บช้ำและความรู้สึกนึกคิดใดไปด้วย
“และแล้ว เค้าก็ถูกโหวตออกจากบ้านบิ๊กบราเธอร์” เสียงพิธีกรอั๋นแห่งรายการบ้านบิ๊กบราเธอร์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ…ยัง…มันยังไม่สำนึก

การเดินฝ่าหมอกหนานั้นสวยเย็นชื่นใจแต่เสี่ยงต่อการสับสนเส้นทางมาก เราเดินกันคุยกันเบาๆ พี่หน่องเดินมาสบทบเราตอนเดินลงจากหัวเขาแบบเงียบๆ และเงียบไปอีกหลายวันกว่าจะกลับมาเป็นอย่างเดิม เหมือนเก็บความคับแค้นในใจ…ไว้ฟ้องครู….

 

 

……………………………………………………………………..

หลายวันต่อมา

“พี่อุ๊ แว่นดำผมล่ะ?” อั๋นถามตาอุ๊
“ขาหักไปแล้วว่ะ ก็แว่นอันนิดเดียวต้องแหกขามันตั้งเยอะกว่าจะใส่ได้ ขอโทษนะ” ตาอุ๊ตอบ
ก่อนโรคร้ายจะหยุดระบาด อั๋นรับไม้สุดท้ายเข้าเส้นชัยเป็นตาแดงซะเองในขณะที่พี่หน่องพี่แน๊ตไม่เป็นอะไรเลย

กลางดึก ที่เก้าอี้ไม้ หน้าบ้านถ้วยทอง ตูกะสูคอตเทจ อุ้มผาง หลายสัปดาห์ต่อมา….

“อาจารย์รู้มั้ยครับว่าไอ้พวกนี้มันทำยังไงกับผมบ้างบนสมอปูน เด็กพวกนี้ด่าผมสาดเสียเทเสีย………” พี่หน่องฟ้องอาจารย์นพอีกยาวเหยียด ส่วนพวกที่กำลังถูกฟ้องเผ่นเข้าในห้องแกล้งหลับให้เร็วที่สุดแต่ยังกางหูฟังว่าจะโดนอาจารย์ด่าอย่างไรบ้าง……..

ผ่านไปอีกหลายปีจนคนฟ้องได้จากพวกน้องๆ ไปแล้ว ตาอุ๊ตัวก่อม็อบเพิ่งได้ไปอุ้มผางอีกครั้งนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันคุยกับนิมอยู่ดีๆ ก็หงายหลังขาชี้ฟ้าพร้อมเก้าอี้ตัวนั้นลงไปบนสนามหญ้าต่อหน้าต่อตานิมที่กำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้น เฮ่ย! พี่ไปโดนตัวไหนมา?….
…..ไม่รู้เหมือนกัน…..
……………………………………………………………

๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๐
มาเฟีย..ตาแดง

ปิดการแสดงความเห็น