โคกกระถิน ทางสายกลาง

ออกพ้นรั้วหลังวัด พระอาจารย์แดงที่เราคุ้นเคยแล้วลงเนินตามทางรอบเขตอุทยานเพื่อไปผาด่านช้างนั้น ซ้ายมือเป็นป่ากระถินและไม้อื่นๆ ที่ทางอุทยานปลูกเพื่อฟื้นฟูป่า ไม้อายุสิบๆ ปี โตใหญ่ให้ร่มเงาแต่เราไม่เคยสนใจเลย จนกระทั่งขากลับจากพาน้องเดินป่าครั้งที่แล้ว หมออุ๊ พี่เก่งกับพี่หวาน พากันเปิดแผนที่ในสมาร์ทโฟนพบว่า ‘มีเส้นทางเดินเข้าไปในป่านี้ทอดโค้งวกไปเชื่อมทางขึ้นผาที่สามแยกต้นงิ้ว’
แต่การเดินสู่ยอดเขาลึกลับครั้งนี้ พี่เก่งกับพี่หวานไม่ได้มา ตาอุ๊จึงเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นเส้นทางในแผนที่นั้นและขอร้องแกมบังคับ พี่อั๋นกับพี่นิมให้พาเดินเข้าไป “ทางถนนมันลงนะพี่ แต่นี่เราเดินไต่ขึ้น มันจะพาขึ้นเขาอีกลูกป่าว?” พี่อั๋นเปรยขณะเดินนำได้สักพักพร้อมกับพี่นิมที่มองแยกซ้ายแยกขวาอย่างสงสัย ทางน่ะคงมีอยู่หรอก แต่มันทางไหนล่ะ?
ส่วนที่ท้ายขบวน ไอ้คนทำหน้ามั่นใจสั่งน้องเข้าป่ากระถินกำลังกลอกตาลอกแลก “ไปถึงแยกต้นงิ้วได้จริงมั้ย? … ทางตันมั้ย? … หลงมั้ย?…” นี่ยังไม่ต้องถามว่ามันจะยากหรือจะง่ายกว่าเดิม เพราะแค่พากันไปถูกทางหรือไม่ก็ยังสงสัยอยู่
“เฮ้ย! มีน”  ตาอุ๊กระซิบถามน้องมีนที่เดินรั้งท้ายด้วย “โทรศัพท์เอ็งมีจีพีเอสมั้ยวะ?”
“ไม่มีพี่ … เดี๋ยว! .. นี่พาน้องมาอ่ะไม่รู้ทางเหรอ?”
“เออ ๆ ๆ เดินไปเหอะน่า”ส้นทางพาเราเดินพ้นยอดเนินแรก แล้วลากดิ่งลงหุบก่อนมีทางโค้งบังสายตาไว้ พอพ้นโค้งเราต้องแหงนมองทางเดินยาวขึ้นเนินอีกลูกหนึ่ง สูงกว่าลูกแรกอีก ทุกคนฮึดเดินจนถึงยอดเนินได้จึงพบว่าตัวเอง ยืนหอบเหงื่อชุ่มในระดับเดียวกับแนวสันเขาอีกลูกข้างหน้าโน้น ดีที่มันยังพาลงไปสามแยกต้นงิ้ว ไม่ไปทางอื่น
“นี่กูเอาแรงปีนมอมะกอกมาใช้ตรงนี้แล้วป่ะวะ”   น้องเปรี้ยวเริ่มบ่นบ้าง
“ไอ้พี่หวานกะหัวหน้าพรรคนะ มาเปิดแผนที่อะไรให้พี่อุ๊ดูแล้วไม่มาเดิน นังพี่อุ๊ก็บ้าจี้พากรุมาเดินซ้า..”
“ถ้าหนูไม่เคยเดินมาก่อนจะไม่ว่าอะไรซักคำ” ยัยมีนเข้าซ้ำอีกคน “เดิมมันเดินลงง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ นี่พามาปีนเขาสองลูก ..ฮ่วย!”
ที่ไม่บ่นแต่พูดเล่นสนุกสนานก็มี ก๊อตกะโต๋ เพราะคราวนี้หลอกเพื่อนนัทมาได้ เลยมีเส้นทางรับน้องที่ไม่ต้องหาเอง นัทหนุ่มหน้าเกาหลีมันก็แบกกีตาร์เดินตามโดยไม่พูดอะไรซักคำ ไม่พูดอะไรจริงๆ …รึมันพูดไทยไม่ได้..
“เป็นพี่น้องกับโตโน่รึป่าววะ?” พี่อั๋นแซวว่าหน้าเหมือนดารา “ชื่อไอ้ ‘ตายแน่’ “ นัทมันก็ได้แต่ยิ้มเรียบๆ ดีนะ มันไม่พูดตอบ ‘ซา-หวาด-ดี-คาบ…รัก-โคะไท-ทุ-โคน’
และที่ยังไม่ถึงเวลาบ่นอีกคนคือ เจ้าคิว เด็ก ๑๒ ขวบ  หลานน้าอั๋นอยากมาหาประสบการณ์ชีวิต ในป่า .. น้าอั๋นพาไปเรียนรู้ ซ่อง..เดี๋ยวน้าอั๋นก็จะพาไป อยู่กับน้าอั๋น ส.ป.ช. ได้คะแนนเต็มแน่ลูกเอ๋ย..
ขณะนั่งพักเหนื่อยที่มอมะกอก มันเหนื่อยจริงๆ เพราะเรารู้สึกว่าได้ขึ้นมอมะกอกสองรอบแหนะ สรุปกันว่าเส้นทางโคกกระถินกินเวลาไปมากกว่าเส้นเดิมเกือบชั่วโมงและกินพลังงานอีกมหาศาลทั้งกับการเดินและการบ่น…ทางที่รู้ว่ามี เราก็ได้เดินสมความตั้งใจแล้ว และจะไม่บ้ามาเดินอีก…
บนสันเขาเราทำเวลาคืนมาได้บ้าง ปลายฤดูฝนเป็นช่วงเวลาพิเศษ มะค่าโมงที่ยืนต้นดาษดื่นในป่าทิ้งเมล็ดเกลื่อนพื้นดินสะสมมาหลายเดือน เปลือกเมล็ดแข็งแกร่งอุ้มน้ำฝนตลอดฤดูค่อยๆ เปื่อยกะเทาะงอกต้นใหม่ขึ้นมา เราเดินไปมองหา‘หน่อมะค่า’ ไปอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้เก็บมาทำอะไรนะ แค่ดูก็เพลิดเพลินแล้ว พี่นิมเลยโชว์สกิลพาเดินเพลินเลาะสันเขา ถึงเบสแคมป์อย่างโชคช่วย
ที่แคมป์ คนหนุ่มฉกรรจ์อย่าง โต๋ ก๊อต นัท ไปหาฟืน สองสาวเปรี้ยว มีน เตรียมครัว พี่อั๋น พี่นิมกางแคมป์ พี่อุ๊ต้มน้ำและหุงข้าว ส่วนคิวช่วยทุกงานอย่างดี แต่อันที่จริงแล้วหน้าที่ทั้งหมดนี้มันเป็นงานของ‘พี่หวาน’ …(อ่านเรื่องพี่หวานได้จากทุกเรื่องเดินป่า)¹
“พี่หวาน..เอาฟืนท่อนใหญ่ๆ นะ”  โต๋ร้องบอกก่อนพาเพื่อนไปตัดฟืน
“ไอ้หวาน .. หุงข้าวเว่ย” ตาอุ๊ร้องเสร็จก็เอาหม้อข้าวไปตวงน้ำตวงข้าวมาหุง
“หวาน .. ก่อไฟที” พี่นิมสั่งแล้วก้มหน้าก้มตาสุมไฟเอง

เหมือนอาการเพ้อๆ เพราะที่ผ่านมา พี่หวานมันเหมาทำทุกอย่าง ปล่อยให้เราเป็น คนดีกันทุกคน…ไม่ได้ทำเหี้ยอะไร... ก่อนเดินไม่กี่วัน พี่หวานเพิ่งบอกทางคณะว่า“ไม่ว่างครับ ติดงาน” พร้อมส่งภาพงานให้ดู .. ในภาพ มันกำลังทำยาสมุนไพรกับหมอสาวๆ เป็นสิบ..งานแจ่มๆ ยังงี้ ใครจะเข้าป่าให้โง่…
นอกจากโดนพี่เก่งพี่หวานวางยาด้วยกูเกิ้ลแมปแล้ว หลังกินมื้อค่ำและได้อาบน้ำเย็นเฉียบ ขณะนั่งล้อมกองไฟ เมื่อได้ยินเสียงฟ้าครืนอยู่ห่างๆ ตาอุ๊ยังไม่วายวางยาซ้ำ “อย่าได้แต่ร้อง ตกแรงๆ เฮ่ย!” แกตะโกนท้าเสร็จก็ขึ้นเปลนอน คืนนั้นฝนตกจริงๆ วุ่นกันทั้งแคมป์..ยกเว้นแก..z…z…z…Z…Z
………………………………………………………………………..

 

“เช้าที่จะขึ้นยอดเขาจึงขลุกขลักน่าดู ปัญหาใหญ่ คือลุกไม่ขึ้น โดนฝนเล่นงานซะอ่วม
และยังมีความประมาทในการเดินไม่น้อย…”

เมื่อก่อน การขึ้นยอดเขาลึกลับนี้ต้องพร้อมสรรพกำลัง  คนนำทาง ผู้ช่วย หน่วยทะลวงฟัน ได้แก่ลุงแขก พี่เก่ง พี่อั๋น พี่นิม พี่หวาน เหล่ามือพระกาฬต้องมาให้ครบ แต่ครั้งนี้เหลือสองคน นี่คือความประมาทแรก ยังพอเบาใจที่คนรุ่นใหม่อย่าง โต๋และก๊อตเพิ่งผ่านบททดสอบนำเดินป่าสดๆ ร้อนๆ และการได้เริ่มต้นเดินหลังเวลา ๑๐ โมงนี่ไม่ต้องคิดถึงเวลากลับเลย
ทางเดินค่อนข้าง แฉะ ลื่น รก และแตกกระจาย อาจเป็นเพราะเพิ่งผ่านฤดูฝน ทำให้ต้นไม้แตกกิ่งใบและสารพัดสัตว์ป่ามาหากินคึกคัก อาศัยว่ามีสมาชิกน้อยคนเราจึงมาถึง ป่าบอนก่อนบ่ายสาม
ทางเดินขึ้นยอดที่คิดว่านอกจากชันแล้วคงไม่มีอะไรยากเพราะเป็นสันเขาแคบ ป่าก็ไม่รกนั้นผิดถนัด ความชันนั้นถูกแล้วยังแถมลื่นไถลเพราะดินเปียกเป็นโคลนเลน ส่วนความรกและสับสนนั้นเกินคาด ป่าเร่วถูกรอยกีบเท้าใหญ่เบิกตะลุยเป็นหลายเส้นทาง บางครั้งเราได้เดินชมวิวไหล่เขาและพักถ่ายภาพหุบเหวที่ไม่เคยเห็นมาเลย (ก่อนจะเอะใจ มันแปลว่าเราหลงทาง) ทางเดินตามรอยกีบขึ้นไปพาให้เราไปพบกับทางเดิมที่เคยใช้รอบก่อนๆ (แล้วตอนกลับจะใช้ทางไหนนี่?)
“ทางสารเลว บัดซบสิ้นดี” เสียงคิว สบถได้ตรงใจพี่ๆ ป้าๆ หลังจากเดินแล้วก็ลื่น เดินแล้วก็ลื่นรอบแล้วรอบเล่า จากที่เคยใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ คราวนี้ใช้เวลาสองชั่วโมงเศษเราจึงถึง ยอดเขาพร้อมสารรูปเหมือนขึ้นจากบ่อโคลน

บนนั้น…
มันคือความฟินและฟินไม่มีวัวปน ขึ้นมาถึงเย็นขนาดนี้ก็อยู่จนมืดเหอะ แล้วก็อยู่กันยันมืดจริงๆ

พื้นเปียกลื่น เส้นทางสับสน ทางขึ้นทางลงมั่วไปหมด และตอนนี้ความมืดเข้ามาซ้ำเติมอีก สองข้างทางลื่นแฉะยังมีหญ้ารกบังเหวมืดเบื้องล่าง ทำให้เราต้องค่อยๆ ลงอย่างบรรจง ซอกหินแคบถูกซุ้มไผ่ครอบไว้เป็น “รู” มากกว่าเป็นทางเดินนั้น ตอนขึ้นพี่นิมผูกเชือกไว้ช่วยดึง ฉะนั้นคนที่ลงสุดท้ายต้องเก็บเชือกแล้วใช้ความสามารถพาตัวเองลงมา
“ก๊อต เชือกติดว่ะ กลับขึ้นไปเก็บให้ที” ตาอุ๊ลงมาคนสุดท้ายบอกน้องอย่างหน้าตายหลังจากที่ตัวเองตะลูดทลายพื้นดินไม่เหลือที่วางเท้าเลย
ก๊อตคงบ่นในใจพร้อมส่ายหัว เพราะกว่าจะพาตัวลงมาได้ แล้วต้องมุดรูกลับขึ้นไปอีก‘ซวยจริง’
เมื่อไม่มีอะไรให้ทำในความมืดนอกจากเดินตามกันอย่างใจเย็น หัวข้อสนทนาของน้องเปรี้ยวเรื่อง Awards กลายเป็นหัวข้อหลักระหว่างการเดิน เป็นเรื่องที่ติดลมมาจากแผนจะไปเปิดป้าย“ห้วยรอซอ” ² บนสมอปูนที่ต้องพับไปนั้น ว่าจะให้แบซอเจ้าของชื่อห้วยมอบรางวัลต่างๆ ให้สมาชิกด้วยเช่น…
‘คนสวยอวอร์ด’ มีสาวโสดเข้ารอบสุดท้ายให้กรรมการตัดสินอย่าง เปรี้ยว นกหวีด ติ๋ว ใหม่ ฯลฯ
“ถ้าต้องเป็นกรรมการให้กูเอาปากกาจิ้มชื่อพวกนี้ กูจิ้มคอตัวเองตายดีกว่า” โต๋ว่าโต๋คงไม่เป็นกรรมการ … แต่มันก็น่าหนักใจจริงๆ นะ ดูจากรายชื่อแล้ว
“จังไรอวอร์ดก็ต้องมีนะ แต่คนได้คงไม่พ้นอีพี่อั๋น” เปรี้ยวรีบเปลี่ยนรางวัล
“จังไรอย่างมันต้องเป็นคนมอบถ้วยแล้ว” พี่นิมหันมาจากหัวแถว
“ถ้วยรางวัลต้องเป็นรูป _วยสามแฉกนะ สีทองด้วย” พี่อั๋นดีไซน์ถ้วยของมันโดยไม่ใช้เวลาคิดสักวินาที
ห้ะ! … แล้วร้านไหนจะกล้ารับงานทำถ้วย … คนไปสั่งต้องทำหน้ายังไง?…

ถ้าไม่มีเสียงธารน้ำกระทบโตรกหิน เราคงต้องใช้เวลาเลาะหาจุดที่พักนานกว่านี้ ห้าทุ่มตรงจึงพบแคมป์เงียบสงัดซุกตัวรอเราในความมืด(ดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น) เสบียงที่เตรียมไประหว่างทางหมดเกลี้ยง ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย ทั้งสกปรก และทั้งง่วง ยังไงก็ต้องเหลือเรี่ยวแรงไว้จัดการทีละอย่าง ไฟถูกก่อขึ้นใหม่ทำให้ชีวิตชีวากลับมาอีกครั้ง แต่น้ำในลำธารเย็นเฉียบไม่เกรงใจคนสกปรกบ้างเลย บางคนกินข้าวเสร็จก็แทบหลับกับจานข้าว แต่สายแข็งหลายคนยังอยู่เวรเฝ้าแคมป์ได้ปกติ..จิตใจเขาทำด้วยอะไร?
………………………………………………………..

ไม่มีการปลุก ไม่มีคนเร่งรีบ หรือแม้แต่แผนการอะไรทั้งสิ้นในวันนี้ ใครตื่นก่อนก็นั่งฟังเสียงนกร้องคลอเสียงน้ำไหลหรือหุงต้มอะไรกินอย่างผ่อนคลาย เพราะเบสแคมป์แห่งนี้นอกจากกลุ่มขึ้นเขาลึกลับแล้วแทบจะไม่พบร่องรอยการรบกวนจากมนุษย์เลย ถึงแม้วันนี้ต้องเคลื่อนแคมป์ไปที่ผาด่านช้าง ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะไปกี่โมง การเดินในวันที่สามนี้ สั้นและง่ายที่สุดในโปรแกรมทั้งหมด แต่ก็เกิดเรื่องบ่อยที่สุดด้วย…
เกือบสี่โมงเย็น เราจึงเก็บเบสแคมป์เสร็จ มีทางให้เลือกสองทาง หนึ่งคือเดินขึ้นไปบนสันแล้วเลาะสันเขาไป แต่มันใกล้ค่ำจนเกรงว่าจะพลาดจึงไม่เลือก อีกทางหนึ่งคือลงไปเดินไต่เลาะธารน้ำเหมือนที่เคยเดินประจำ ไม่หลงแน่นอน แต่ต้องเลี่ยงเพราะมีคนเจ็บ พี่นิม พี่อั๋น จึงเลือก“ทางสายกลาง” ให้ทุกคน …

อยากรู้ว่าทางสายกลางเป็นอย่างไรให้ดูภาพ แล้วตอบคำถาม…ข้อไหนเดินยากที่สุด?
ถ้ายังไม่รู้ก็ลองมาเดินทางสายกลางนี้ด้วยตัวเอง…

…หนีจากทางน้ำเมื่อไหร่ เป็นได้เรื่องทุกครั้ง...

ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ที่ไม่ดีก็อย่างที่เห็นคือ เดินไกล เหนื่อย รกมุ่น ต้องขึ้นไหล่เขาลงร่องหุบหลายรอบ  แต่ความดีของเส้นนี้คล้ายกับน้ำตกลูกชิ้นปิ้งครั้งนั้นคือ การขึ้นไปพบยอดเนินของผาด่านช้าง เป็นลานหินมองวิวได้กว้าง ตำแหน่งน่าจะอยู่หลังแคมป์ที่เราพักประจำนั่นเอง เสียดายที่เรามาตอนใกล้พลบแล้วต้องรีบไปต่อ เพราะยังไม่รู้อีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงแคมป์ และยังมีความหวังจะไปเห็นหน้าผากับฝูงนกเงือกพร้อมแสงสุดท้าย
แต่ก็ไม่ทัน ฟ้ามืดแล้วเราจึงมาถึงจุดตั้งแคมป์ แต่ละคนรู้หน้าที่เหมือนเดิม จะลำบากหน่อยสำหรับหนุ่มๆ หาฟืนเพราะนอกจากความมืดแล้ว การที่เรามาพักจุดนี้บ่อยๆ ทำให้ต้องไปหาฟืนไกลออกไปเรื่อยๆ ดีนะที่เรามีพี่อั๋น…

พี่อั๋น คุณพ่อมือใหม่จังไรแมน ของเรามีความทรงจำพิเศษกับเจ้าแม่ต้นไทรสูงตระหง่านข้างจุดตั้งแคมป์ เป็นเจ้าในป่าบริเวณนี้ …

…ย้อนความไปหลายปีก่อน ในคืนมืดสนิทมีเพียงแสงตะเกียงแก๊สริบหรี่เป็นเพื่อนกองไฟ ลุงแขกเรียกพี่อั๋นจากภวังค์ให้ลงไปตักน้ำ พี่อั๋นลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้คว้าหม้อสนามแล้วเดินออกไป
‘อั๋น! เอ็งจะไปไหน ?’ ลุงแขกเรียกไล่ตามหลัง
‘ก็ไปตักน้ำไง’ พี่อั๋นหันกลับมาตอบเสียงแข็ง พร้อมชี้มือยังทิศที่จะไป
‘น้ำ…อยู่ทางโน้น’ ลุงแขกท้วงเรียกสติ ชี้ไปอีกทาง ส่วนพี่อั๋นหันไปมองตามมือตัวเองถึงกับตาเบิกค้าง ความงัวเงียหายสิ้น ขนทุกเส้นลุกเกรียวพร้อมหัวใจแทบหยุด เมื่อพบว่าตรงหน้าห่างอีกไม่กี่ก้าวคือ โพรงต้นไทรยักษ์นี้…ไม่ใช่ทางลงห้วยน้ำ…
จากวันนั้น พี่อั๋นจะผูกเปลนอนใกล้ต้นไทรอย่างสนิทสนมทุกครั้งที่ขึ้นมา ค่ำนี้เช่นกัน พี่อั๋นคุยให้สมาชิกฟังหลังจากมื้อค่ำผ่านไปว่าตนใช้ความคุ้นเคยเอ่ยปากขอฟืนไฟกับเจ้าแม่
‘ซ้าธุ…เจ้าแม่…ลูกช้างมาถึงมืดค่ำขอช่วยน้องๆ หาฟืนได้ง่ายๆ หน่อยเถ๊อะ…’
‘เยอะ…’ เจ้าแม่ตอบพร้อมผายมือไปด้านข้าง
‘ฟืนเยอะเลยรึเจ้าแม่ ?’ พี่อั๋นถามกลับอย่างประจบนอบน้อม
‘!พวกมึงง่ะ … เยอะ!! ฟืนกูจะหมดป่าแล้ว!’
ยังดีที่เราไม่เคยรังแกไม้ต้นที่ยังมีชีวิตมาทำฟืนเลย ไม้ฟืนแถวนี้ ถ้าไม่ใช่ต้นหรือกิ่งไม้แห้งก็เป็นไม้ล้มที่น้ำพัดมาเกยโขดหินให้เราตัดมาทำฟืนได้ไม่เคยขาด
…………………………………………………

วันสุดท้าย ก่อนได้เวลาเดินกลับจะเป็นเวลาพักผ่อน การนั่งฟังเสียงลม นอนดูท้องฟ้า เล่นน้ำในสระเอวาซองชมหน้าผานั้นสุขสุดๆ แล้ว ไม่ต้องเดินไปไหน ผาด่านช้างหรือผารากไทรนี้ หลายคนได้ชมนกเงือก ชมวิวขุนเขาเบื้องหน้า หุบเหวเบื้องล่างมานานนับสิบปี หุบลึกข้างล่างนั้นนอกจากได้ฟังลุงแขกเล่าถึงการไต่ลงไปแล้ว น้องๆ ก็ได้แต่มองตามด้วยความคิดต่างๆ นานา มีคนเห็นรอยกระทิงเดินหากินขึ้นมาจากหุบนั้นบ้าง ก็ได้แค่สงสัยว่ามันต้องมีหนทางขึ้นลงแต่ยังไม่มั่นใจพอหากจะลองค้นหาจริงจัง จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง พี่เก่งสะสมความอยากรู้ถึงขีดสุด พลิกเปิดจีพีเอสไปมาหลายรอบ แถมมีพี่หวานช่วยยุลุยถึงไหนถึงกัน จึงสนธิกำลังชวนกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ลัดเลาะตามรอยลงไป จนในที่สุด เราก็ได้สัมผัสหุบเหวใต้ผาด่านช้างเป็นผลสำเร็จ ³
วันนี้ เปรี้ยวกับก๊อตรับอาสาพาพี่อั๋นลงไปใต้หน้าผา…
“แยกลงทางไหนวะ” ก๊อตสงสัยตั้งแต่เริ่ม
“ทางไหนมันก็พาลงทั้งนั้นแหละ ขอให้มันยังเดินลง” เปรี้ยวให้คำปรึกษา ช่วยได้มาก
พี่อั๋นเดินตามหลัง ฟันเบิกทาง ถากหนามต้นไม้แคระที่ดักเกี่ยวผิวจนเลือดซิบ พร้อมบากทำเครื่องหมายเส้นทางตามทักษะประจำตัว กระทั่งลงไปถึงก้นร่องลึกข้างล่างที่จะพาเลาะเลียบไปหาเสียงน้ำตกก้องสนั่นหูก็ยังไม่วายบากเครื่องหมายที่ต้นไม้ใหญ่
“พี่จะบากทำไมไม่ทราบ?” น้องเปรี้ยวเท้าสะเอวถามอย่างสงสัย “เสียงน้ำตกมันอยู่หลังต้นไม้นี่เอง ลั่นซะขนาดนี้ ยังจะหลงไปไหนได้อีก?”
“๕๕๕๕” พี่อั๋นตอบเป็นตัวเลขไทย

สายน้ำตกวันนี้แรงดีกว่าครั้งแรกที่เจอกัน….

เมื่อเล่นจนหนำใจ เหล้าฉลองหมดขวด มาม่าหมดทุกซอง กาแฟหมดหม้อ เราจึงพากันเดินกลับ ก๊อตนำทางเดินกลับเช่นเดิม แต่ก็ยังพามุดมุ่นไม่ต่างจากตอนเดินลง มีเรื่องประหลาดคือ…
“เปลือกไม้มันประสานตัวเร็วมาก รอยบากกูหายหมดเลยว่ะ”  พี่อั๋นชวนน้องๆ ดูเรื่องน่าแปลกใจ
“นั่นดิพี่ แค่ชั่วโมงกว่า พวกนี้ก็งอกหนามใหม่ขึ้นมาแทนได้ด้วย” ก๊อตเสริมถึงความมหัศจรรย์พันธุ์ไม้
“มึงพากูเดินขึ้นเดินลงให้มันเป็นทางเดิมได้ป้ะ?” เปรี้ยวไม่มีอารมณ์ประหลาดใจกับไอ้สองหนุ่มนั่น

ฟ้าเกือบมืดตามเคย เราลงจากเขามาถึงสามแยกต้นงิ้ว…
“เรามาจากทางนี้ เราก็ควรกลับไปทางนี้” พี่อั๋นชี้ไปยังทิศโคกกระถิน
“จะมาทางดงทางเดิมอะไรกันตอนนี้!”  มีนโวยลั่น “ใครจะไปก็ไป หนูรู้ว่ามีทางดีๆ หนูจะกลับทางนั้น”
“มันผ่านแคมป์คนงานนะน้อง ทางก็เปลี่ยว คนก็เปลี่ยว” พี่อั๋นเตือนด้วยตาเจ้าเล่ห์
“เปลี่ยวก็ไป”
ดังนั้น ด้วยความเป็นห่วงสมาชิก ทั้งหมดเลยพากันเดินกลับทางปกติ ไม่ไปโคกกระถิน
..เพราะเป็นห่วงนะ…ไม่ได้ป๊อด..

…บันทึกโดย…
…มัชฌิมาปฏิปทา…

ปิดการแสดงความเห็น