ผาตาลโตนด : รับน้อง..หื้อออ..ไม่น้องแล้ว

หวาน - (5)“แฮ่กกกก…แฮ่กกกก… ฮัลโหล..แฮ่กกก..แฮ่ก.. อยู่เขาใหญ่..” ไอ่พี่โอ๋ลังเลไม่รู้เป็นเบอร์ใครโทรมาแต่สุดท้ายก็รับเพราะเกรงว่าจะเป็นลูกค้าหรือใครติดต่อธุระสำคัญ กว่าจะรวบรวมลมหายใจมาพูดได้ก็หลายแฮก
“…………………….” ต้นสายคงงงและกำลังขำก๊าก เพราะเป็นสายของไอ้คิงโทรเข้า อารมณ์ว่า ‘ก็รู้แล้วครับว่าอยู่เขาใหญ่แต่ถึงไหนแล้วววว? ’
“เรอะ..อยู่ตรงไหนไม่รู้ว่ะ เอ้า..คุยกะเอส”
“เอ้อ..ฮัลโหล พวกมึงล่ะถึงไหนแล้ว” พี่เอสรับสายมาสนทนาต่อด้วยเสียงนิ่ง “อื้ม..อยู่บนหน้าผาแล้วเหรอ พวกกูเดินลงมาในหุบ เจ้าหน้าที่กำลังพาตัดทางไป ที่หน้าผามันมีจุดสังเกตอะไรให้เห็นมั่ง ?”
“มีต้นยางหงิกๆ กับต้นตาลโตนดอ่ะพี่” คิงตอบชัดเจน(ผมเขียนจากที่เขาเล่าภายหลัง)
“โอเค เดี๋ยวเดินไป แต่…คิง…มึงฟังกู มึงฟังกูดีๆ..” เอสพูดเสียงทุ้มต่ำให้น้องตั้งใจฟังเรื่องสำคัญ…“กูไม่รู้จักตาลโตนด”

map

สามสี่ชั่วโมงก่อนนั้น เราเริ่มเดินจากชายป่าแถววังหมีจุดหมายคือ“ห้วยน้ำใส” หมายถึงธารต้นน้ำใสใหญ่ ซึ่งมีน้ำตลอดแม้ในเดือนเมษายนที่ร้อนที่สุดของปีนี้ที่แล้งที่สุดในรอบหลายสิบปี นิมหัวหน้าคณะแจ้งว่า เส้นทางไม่ไกล เดินง่าย และใช้เวลาน้อย จัดให้นักเดินป่ารุ่นเดอะในคณะนี้โดยเฉพาะ

อ.อ้วน - (38)ออกเดินได้สิบกว่านาที ขณะอาจารย์อ้วนกำลังเพลินกับการถ่ายรูปสมาชิกจากหัวแถวมาถึงท้ายแถว ขบวนเบี่ยงทางซ้ายได้ไม่นานจึงรู้ว่าเราเผลอแยกจากกลุ่มหัวขบวนซะแล้ว ดีที่พบว่ากำลังเดินตามแนวท่อประปาภูเขา ซึ่งทำให้มั่นใจว่ามันจะพาไปหาแหล่งน้ำอย่างแน่นอน เราหยุดพักเพื่อนับสมาชิกคณะกรรมการตรวจท่อประปา ประกอบด้วยอาจารย์อ้วน อโศก เอส โอ๋ เติ้ล ยุ้ยและผม ซึ่งเดินป่าด้วยกันมานับสิบปีแม้พักหลังนานๆ จึงจะได้เจอกัน รวมถึง พี่แอ๊ด เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ดูแลรั้งท้ายก็เลยได้เบี่ยงตามมาดูแลพวกเราโดยปริยาย เส้นทางประปาน่าจะขนานไปคนละสันเขากับอีกทางที่พวกเด็กๆ กำลังเดินกัน ระยะที่เดินมาได้ก็คงไล่เลี่ยกัน แต่สิ่งที่กลุ่มเราทิ้งห่างกลุ่มนั้นไม่เห็นฝุ่นคือ..อายุ ในกลุ่มประปาเราทุกคนอายุใกล้เลขสี่หรือไม่ก็เลยแล้ว ยิ่งอาจารย์อ้วนนั้นเลยไปไกลลิบ แม้ว่าหน้าตาพวกเราดูไม่ต่างจากพวกเด็กๆ ก็ตาม อีกอย่างคือ นอกจากพี่แอ๊ดแล้ว..เราทุกคนมาเดินห้วยน้ำใสนี้เป็นครั้งแรก..เห้อ….
……………………………………………………
อ.อ้วน - (47)ดีที่วิธีกู่เรียกกันในป่า  ยังช่วยให้รู้ทิศทางกันและกันอยู่บ้าง แค่บ้างนะครับเพราะมันมาถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ที่ก้นหุบ ไอ้พี่ยุ้ยถูกตะคริวกิน อาจารย์อ้วนหมดแรง ส่วนพี่โอ๋ก็ฟังเสียง‘แฮ่ก’ก็แล้วกัน ดูแลกันไป พักกันไป เดินกันไปตามเสียงกู่จากน้องๆ บนหน้าผา พวกเราในหุบยิ่งเดินยิ่งห่างกัน ถูกต้นไม้ทึบบังตา บางครั้งที่เดินตามเสียงกู่สักพักจึงรู้ว่าเป็นเสียงกู่ของพวกเรากันเอง พวกข้างบนน่ะมันหยุดกู่ไปแล้ว(คงกำลังขำแทบกลิ้ง) ผมเห็นว่าเพื่อนๆ กำลังพักและดูแลกันอยู่จึงแยกตัวเดินขึ้นไปตามเสียงหัวเราะที่แว่วมาเป็นระยะ(เสียงหัวเราะนี่มันดังไกลเนาะ) บางเวลาเสียงเงียบไปก็ต้องหยุดรอจับเสียงใหม่ ผมจะชอบเสียงห้าวแหลมบาดหูของคิงกับเปรี้ยวก็ตอนนี้เท่านั้น เสียงแว่วมาจากทางซ้ายก็ต้องรีบโผไป เดี๋ยวมันเปลี่ยนมาทางขวาก็รีบดิ่งตามเสียงโดยไม่สนใจไม้รก เถาหนามหรืออะไรทั้งนั้นเพราะกลัวหลุดทิศทาง จนกระทั่งเห็นเจ้าหน้าที่สองนายลงมาตามจึงเบาใจว่ามาถูกแล้ว บอกทิศทางของกลุ่มที่เหลือ ส่วนตัวเองขอขึ้นไปพักบนหน้าผาก่อน…

นิม - (15)สภาพร่างกายเมื่อผม‘โผล่’จากหุบเขาขึ้นไปเจอผู้คนนั้นไม่อยากจะเอ่ย ขอเล่าถึงสภาพจิตใจก็แล้วกัน…
…หิว หิวมาก รีบนำอาหารในเป้ออกมากิน พอกินคำแรก เสียงของตัวเองที่พูดกับเพื่อนๆ ก้นหุบก็ดังขึ้นในหัว‘ไม่ต้องกลัว อาหารอยู่นี่’ ..ตอนนี้อาหารของกลุ่มนั้น ผมแบกขึ้นมาหมดแล้ว..เห้อออ…ถ้าพวกนั้นหิวจะกินอะไร?? คิดไปด้วยกินไปด้วย
…อีกอารมณ์… รู้สึกว่าน้องๆ เป็นข้าศึกดักรอบนหน้าผา อาวุธครบมือ(คำเยาะเย้ย) เล็งปืนรอใครก็ตามที่โผล่มาเข้าแนวยิงของพวกมัน เผอิญมีหลุดมาคนเดียว กระสุนทุกเบอร์ระดมใส่ตลอดเวลาที่ผมปาดเหงื่อ ปัดเศษดิน กินข้าว กินน้ำ(เห็นกรูเป็นก๊อตซิล่า) มันยิงซะพรุน รู้งี้นั่งกินข้าวกับเพื่อน ๆ แล้วค่อยขึ้นมาดีกว่า เห้อออ…(อีกรอบ)

ไม่นานกลุ่มก้นหุบก็ตามมาจนครบ เมื่อทุกคนได้พักกินข้าวกลางวันสนทนาฮาเฮกันดีแล้ว ไอ้คิงก็ชี้ชมต้นยางหงิกๆ กับตาลโตนด ของมันอวดยอดชะลูดเด่นเหนือไม้อื่นในป่าให้เราดู ถถถถถ..น้องคิง มึงอยู่ข้างบนมึงก็เห็นสิ แต่คนอยู่ในหุบใครจะไปเห็นกับมรึงวะ แล้วนั่นตาลโตนดที่ไหนล่ะ..เห้อ..แต่คิงอุตส่าห์รู้จักตาลโตนดก็…นะนิม - (412)

ถึงจุดตั้งแคมป์ริมห้วยน้ำใส อาการตะคริวของยุ้ยดีขึ้น ชากาแฟจากเครื่องชงกาแฟสดที่ยุ้ยแบกขึ้นมาจึงเริ่มตีตลาด พ่อค้ากาแฟสุดอินดี้อย่างยุ้ยเมื่อจัดแจงความสะดวกให้เพื่อนร่วมคณะเสร็จก็เตรียมหาที่ผูกเปลนอน ต้นไม้หลายคู่ถูกจับจองก่อน คู่ที่เหมาะๆ ไม่อยู่กลางแคมป์ก็อยู่ขวางทางสัญจร ยุ้ยหมายตาต้นไม้คู่หนึ่งไว้
“มันจะขวางทางเดินนะ พี่ยุ้ย” เสียงน้องท้วงไว้
“ไม่น่าขวางนะ มันเหมาะมากเลย น่านอนดี” ยุ้ยยังยืนยัน
“เออ งั้นเอ็งจะผูกก็ผูก ทางมันพอเลี่ยงได้อยู่” ผมอนุมัติอย่างใจดี ก่อนที่ยุ้ยจะตอบมา
“ไม่ละ ผูกต้นอื่นดีกว่า…”
“….ไอ่สึด…” ผมกุมขมับพึมพำ

นิม - (108)อากาศร้อนตอนฟ้าใกล้มืด บวกกับการเดินเปื้อนฝุ่นหลายชั่วโมงทำให้สายน้ำเป็นสถานบันเทิงที่น่าพิสมัยยิ่งนัก หนุ่มๆ ไม่ต้องเกรงใจผีสางเทวดาจึงลงเล่นน้ำสนุกสนาน ธารน้ำน้อยไหลเรื่อยไม่ลึกนัก มีลานหินให้นอนเล่น ริมน้ำบ้างเป็นรากไม้บ้างเป็นหิน บางแห่งเป็นดินทราย มือดีของใครไม่รู้ควานเจอหอยกาบตัวเขื่องเป็นจุดเริ่มของกิจกรรมหาหอย ถ้าชอนมือเข้าไปในทรายให้ถูกที่จะเจอหอยกาบฝังตัวอยู่ ไอ้วุ้นมือดีกว่าใครควานเจอหอยอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่“เฮ้ย!..นี่มันซ่องเลยนี่หว่า” ไอ้นี่ตื่นเต้นเห็นหอยเยอะ เกิดหน่วยปฏิบัติการทลายซ่องมีคิง อั้มแล้วยังมีพี่สองเข้าร่วมวง แต่พี่สองมันจับหอยเยอะไม่ได้ ใจมันไม่ถึง หุ หุ.. เย็นนั้นเราได้หอยใส่ถุงใบใหญ่ผูกลอยน้ำไว้เพื่อรอเป็นอาหารมื้ออร่อยต่อไป
………………………………………………..นิม - (195)

เปรี้ยว - (46)วันที่สองนี้ผมไม่ได้รับรู้เลยว่าที่แคมป์เป็นอย่างไร เมื่อกินอาหารเช้าง่ายๆ และเตรียมเสบียงเล็กน้อย ผมขยิบตากับหวานให้ออกเดินทางตามที่แอบนัดแนะกันไว้ โชคไม่เข้าข้างที่มนต์ปี่พระอภัยมณีกล่อมป้ามอร์ไว้ไม่อยู่ แกขอตามไปด้วย ฉะนั้นเพื่อความดีงามที่สั่งสมมาทั้งชีวิต ผมจึงขอให้อั้มไปด้วยถือไม้คอยตีถ้าป้ามอร์เริ่มงอแง ชุดเฉพาะกิจเยือนแก่งยาวของเราจึงมีหวานเป็นผู้นำทาง ป้ามอร์เดินตามหวาน อั้มแบกสัมภาระเดินคุมป้ามอร์ และผมเดินปิดขบวน เส้นทางไม่น่าหลงเพราะเดินตามลำน้ำไปเรื่อยๆ ได้ข้อมูลเบื้องต้นจากนิมว่าเดินประมาณ ๗-๘ ชั่วโมง เราเริ่มเดิน ๗ โมงเศษ ทุกๆ ชั่วโมงจะวัดระยะทางด้วยจีพีเอสในสมาร์ทโฟนของหวาน ได้ข้อสรุปว่า เมื่อเราเดินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เราจะเดินได้ระยะทางเท่ากับระยะที่เราเดินหนึ่งชั่วโมงนั่นเอง

นิม - (142)เนื่องจากตอนรุ่งสางผมเห็นว่ามีหลายคนข้ามห้วยไปทำธุระกันขวักไขว่่ (ผมก็คนนึง) ฝั่งขวาลำน้ำจึงมีกับระเบิดมากมาย ชุดเฉพาะกิจจึงยึดริมฝั่งซ้ายของลำน้ำตลอดเพื่อสวัสดิภาพ แต่ทางป่ายังไงก็ไม่เหมือนทางทอดน่องในพารากอน ริมน้ำเต็มไปด้วยป่าหวายไม้รก ดินอ่อนนุ่มทำให้มีไม้ล้มหรือตะแคงปิดเส้นทางเสมอ เฉพาะบางช่วงเท่านั้นที่เห็นว่าลำน้ำตื้นเขินเป็นลานหินจึงลงเดินตามลานอย่างง่ายดาย ช่วงไหนเป็นแก่งสวยน่าเพลิดเพลินก็หยุดพักซะงั้นตามความพอใจ จนเวลาบ่ายสองครึ่งเหนื่อยกำลังดีเราได้มาถึงจุดหมาย

นิม - (98)แก่งยาววันนี้เงียบสงบ ดูโปร่งโล่งจนแปลกตาเนื่องจากไม้หลายต้นผลัดใบสู้ความแล้ง ต้นติ้วกลุ่มใหญ่นั้นทิ้งใบจนโกร๋น ไคร้ย้อยกลางน้ำเพิ่งผลิดอกตูมเล็กๆ ดงสับปะรดมีรอยถูกสัตว์ป่าขุดคุ้ยรวมถึงถุงเสบียงอาหารแห้งไม่ทราบเจ้าของเดิมทีคงผูกห้อยบนกิ่งไม้ก็ถูกลากดึงลงมากัดกระจุยกระจาย ที่น่าใจหายคือมีรอยขี้เลื่อยเกลื่อนเต็มพื้นดินกับไม้พะยูงแปรรูปสองสามแผ่น หลังจากเก็บกวาดพื้นที่แล้วเราก่อไฟต้มน้ำ กินอาหารที่เตรียมมาจนอิ่ม ก่อนจะถึงกิจกรรมที่ดึงดูดให้อั้มยอมดั้นด้นมา เพราะจะมีที่ไหนให้เล่นน้ำได้สะใจเท่าแก่งยาว
“พี่หวาน ไม่เล่นน้ำเหรอ?” อั้มร้องถามจากบ่อจากุดชี่ “เดินมาตัวเหม็นๆ อาบน้ำหน่อยเหอะ”
“ไม่ พี่ไม่อาบ พี่จะเป็นคนเลว” หวานร้องตอบพร้อมชูกำปั้นยืนยันเจตนารมณ์ ทั้งที่ยังนอนหนุนแขนตัวเองบนลานหิน พี่หวานเป็นคนดีมาตลอด แต่ทุกครั้งก็เป็นได้แค่คนดีที่เค้าไม่ต้องการ T_T เลยอยากเป็นคนเลวให้รู้แล้วรู้รอด
“เอิ่ม..พี่หวานเข้าใจรัยผิดป่าวเนี่ย..” อั้มพูดงงๆ มองหน้าพี่ๆ ที่ได้ยินการสนทนาของมันชัดเจน “ไม่อาบน้ำเขาไม่เรียกคนเลวครับพี่..เขาเรียกคน สก-กะ-ปก”

นิม - (37)จากที่เล่นน้ำใต้ร่มไม้หลบแดดแสบร้อน ย้ายไปเล่นกลางแจ้งยามแสงอ่อน จนเริ่มหนาวเพราะตะวันจะลับฟ้า จึงรู้ตัวว่าถึงเวลาที่ควรออกเดินทางกลับ เราลาแก่งยาวโดยเปลี่ยนไปเดินทางฝั่งขวาของลำน้ำ ทางโล่งเดินง่ายไม่ต้องเงื้อมีดสักครั้งเดียว พอฟ้าจวนมืดเราเดินกลับมาได้ครึ่งทางแล้ว (ขาไปเดินฝั่งโน้นทำรัยเนี่ย..รกชิบ) แต่หลังจากพักบนลานหินตรงโตรกน้ำกว้างเรายังยึดฝั่งขวาต่อไปซึ่งมันคือความผิดพลาด ทาง..ทางมันหายไปไหน มันอาจมีแต่หาไม่เจอหรือไม่เคยมีทางเดินที่ฝั่งนี้ เราตัดฝ่าทางเองทุกย่างก้าวจนฟ้ามืดสนิทยังเดินไม่ถึงไหน ไฟฉายสามอันแจกจ่ายช่วยกันดูทาง เราเดินตัดทางอยู่นานจนเจอแก่งที่พอจะข้ามไปอีกฝั่งได้จึงรีบข้ามโดยไม่ลังเล

มีจอมปลวกใหญ่ประหลาดอันหนึ่ง ผิวด้านบนมนเรียบต่างจากจอมอื่นคงเพราะมีสัตว์ใหญ่เอาตัวมาสีบ่อยครั้ง พร้อมกับนึกถึง น้องเปรี้ยว เรายังคิดกันเล่นๆ ว่ามันโดนสีท่าไหนถึงออกมารูปนี้ได้ ตอนขาไป จินตนาการบรรเจิดของอั้มได้เปิดหูเปิดตาหลายท่วงท่า ขากลับเรามาถึงจอมปลวกนี้ก่อนเข้าสู่เส้นทางช่วงหนึ่งที่น้ำไหลเวียนวกเป็นคุ้งกว้าง ปากทางวกนี้ยังมีต้นไม้ขาวโพลนขนาดหลายคนโอบยืนอยู่ เราอ่านจีพีเอสข้างโคนไม้ขาวก่อนเดินตามความทรงจำเข้าไป อึดใจใหญ่หวานพาเราเวียนออกจากทางวกนี้ได้ แต่…
“ถ้าเอ็งเดินต่อไป เอ็งเจอไอ้จอมปลวกนั้นแน่” ผมยืนพูดจากท้ายแถวข้างต้นไม้ขาวใหญ่(ต้นเดิม)
“แน่ใจเหรอพี่ ผมดูจีพีเอสตลอดนะ มันก็ไม่มีทางอื่นแล้ว” หวานแย้ง
“แล้วถ้าเดินต่อ ก็แก่งยาว” ผมไม่ฟังคำพูดน้อง ยังยืนยันโดยไม่ยอมขยับแม้แต่ก้าวเดียว สุดท้ายเราหันขบวนกลับเข้าทางวกเวียนใหม่โดยผมคงยืนจุดเดิมข้างต้นไม้ สาดไฟฉายบอกตำแหน่งมองแสงไฟน้องๆ เดินตามคุ้งห่างออกไปแล้วค่อยๆ วนใกล้เข้ามาหาทางออกที่ถูกได้ ช่องมันเบี่ยงออกจากที่ผมยืนอยู่นิดเดียว…ที่จำความเก่งของตัวเองได้นี่ก็เพราะตลอดทางผมมีประโยชน์แค่ครั้งนี้แหละ แถมถ้าให้หาทางออกเองยังไงก็หาไม่เจอนิม - (221)

เราควรจะกลับถึงแคมป์ได้ก่อนสี่ทุ่ม แต่มีสองครั้งที่เรายอมเสียเวลาโดยเจตนา…
ครั้งแรกกลางดงไผ่.. อย่างที่รู้เกี่ยวกับป่าไผ่ เหนือศีรษะจะถูกกอไผ่คลุมปิดเป็นเพดานแต่พื้นดินนั้นจะเรียบจนไม่รู้ว่าทางเดินไหนถูกหรือผิด ขณะที่รอหวานล่วงหน้าหาทางเดิน เราดับไฟฉายเพื่อถนอมพลังงาน และเมื่อหวานคิดว่าพบทางแล้วจึงส่องไฟกลับมาหาคนอื่นๆ แต่คงแปลกใจที่ไม่มีใครส่องไฟตอบกลับ..
“หวานๆ ดับไฟลงเร้ววว..” ป้ามอร์บอกด้วยน้ำเสียงเหมือนคุณครูบอกให้นักเรียนค่อยๆ หลับตารอฟังนิทาน เมื่อรอบตัวมืดสนิท สายตาเราค่อยๆ เห็นแสงน้อยๆ นับไม่ถ้วนลอยไปมา บางดวงกระพริบนิ่ง บางดวงค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากพื้นดินช้าๆ รอบตัวเรามีหิ่งห้อยมากมายส่องแสงจนป่าไผ่สว่างพราว พวกมันลอยไปมาในดงไผ่นั้นไม่ไปไหน เราก็ไม่ไปไหนเช่นกัน เฝ้ามองพวกมันอย่างไม่สนใจเปรี้ยว - (117)  เวลา…ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องตัดใจจากมา
อีกครั้งเมื่อถึงแก่งที่อยู่ห่างจากแคมป์แค่ชั่วโมงเดียว…เรานั่งพักบนโขดหินกว้างกลางน้ำ เอาขนมปังเนยถั่วและอาหารว่างที่มีมากิน นั่งคุยกันจนหมดเรื่องคุยก็เอกเขนกมองฟ้า ฟังเสียงน้ำไหล รับรู้ถึงสายลมที่นานทีจะพัดเบาๆ สัมผัสความสงบในเสียงแมลงกลางคืน มีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ขึ้นแปดค่ำลอดแนวไม้มาเท่านั้น

เกือบเที่ยงคืน จวนจะถึงแคมป์เราต้องหยุดและดับไฟฉายเพราะได้ยินเสียงคิงกับวุ้นเดินตรงมา ที่ต้องปิดไฟเพราะกลัวว่ามันกำลังรีบมาทำธุระหนักจะถกกางเกงแล้วเจอพวกเรา ..ใช่..เราเกรงใจ ดูเชิงกันสักพักจึงแน่ใจว่ามันมาหาพวกเรานั่นเอง เพราะเห็นแสงไฟของเราสะท้อนป่ามาแต่ไกลแล้ว หลังจากทักทายกัน คิงนำขบวนพาเราเดินเรียงเดี่ยวเข้าสู่แคมป์ ถ้าพวกมันถือปืนด้วยคงดูเปรี้ยว - (128)เป็นฉากควบคุมตัวนักโทษแก๊งค์แก่งยาวมาสอบสวน ซู้ดดด..เพลงมา…
“มาทำไมให้อายบ้านนาเล่านวลน้อง ไม่ต้องกลับคืนมา….”
ไม่รู้ว่าวงดนตรีอโศก โอ๋ เอส กำลังเล่นเพลงอะไรอยู่ แต่พลันเปลี่ยนเป็นเพลงหม่ำ จ๊กมกนี้ให้สะท้านทรวง บางคนเข้ามาถามไถ่อย่างห่วงใย(ใครวะ? ผมคิดแบบโลกสวยว่ามีก็แล้วกัน) แต่ส่วนใหญ่หาเรื่องมาถล่มเราเละ แล้วแนวเพลงก็เปลี่ยนไปอีก…
“หลายครั้งที่มองไปบนฟ้า ทุกๆ ครั้งฉันเองก็เกิดคำถามขึ้นมาข้างใน อยากจะรู้เธอเป็นเช่นไร…”
ไม่รู้กีตาร์ไปอยู่ในมือไอ้คิงตั้งแต่เมื่อไหร่ ฟังเนื้อร้องท่อนต่อๆ ไป มันถูกแปลงเป็นแก่งยาวๆ อะไรนี่แหละ เราจึงค่อยรู้ว่ามันแต่งเพลงไปฮากันไป ล้อพวกเรามาตั้งแต่เย็น หลังจากนั้นวงดนตรีรุ่นพี่ก็ปล่อยเวทีให้น้องคิงฉายเดี่ยวอย่างเต็มที่ เพราะวันนี้…วันเกิดคิง…
……………………………………………………

นิม - (337)‘…สังคมผู้หญิงนั้นน่าสนใจ.. ที่ทำงานของผมมีผู้หญิงสิบคน พวกเธอแบ่งพรรคแบ่งพวกได้เป็นเก้ากลุ่ม ไม่รู้พวกเธอทำได้ไง…’  ผมจำรุ่นพี่คนนึงแบ่งปันประสบการณ์การทำงานตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเรียนจบมาเจอกับตัวเอง…
วันนี้เป็นวันอยู่เฉยๆ ผมเลยอยู่เฉยๆ ซะให้คุ้ม ตื่นมาต้มน้ำชงกาแฟ คั่ว ทอด กิน คลุกขี้เถ้าอยู่กับกองไฟ เห็นเจ๊เติ้ลพาน้องจูนเล่นน้ำไปนั่งเม้าท์มอยตามประสาแม่บ้านไป ป้ามอร์โกรธหมาที่ไหนไม่รู้หนีไปอยู่ท้ายน้ำทั้งวัน น้องดาวสนุกกับการทดสอบเปลทุกใบในแค้มป์อยู่คนเดียว น้องเปรี้ยวที่รู้สึกพอใจว่าในแคมป์ไม่ได้ใช้ปลากระป๋องตราซีเล็ก ก็ไปสมทบกลุ่มแม่บ้านกะเค้า? …ผู้ญิ้ง ผู้หญิง…

นิม - (181)คิงแจ้งเหตุตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าหอยจากลำธารที่หามาวันก่อนถูกพี่นิมผัดเผ็ด..ซะเผ็ดเลย..กินไม่ได้ แต่เรามีเวลาอยู่กับน้ำทั้งวัน บ่ายนี้เลยจัดชุดทลายซ่องหาหอยกันใหม่ สาว ที่ลำธารพอรู้สึกไม่สะดวกกับการเม้าท์มอยกันต่อ ก็เลยเปลี่ยนเป็นเอาหินลำธารมาฝนเจิมเครื่องหมายทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของพวกหล่อน(ข้างๆ พวกหาหอยนั่นแหละ)

เมื่อยังละอ่อน ผมเห็นรุ่นใหญ่ที่มีหน้าที่การงานระดับสูงสมัยนั้นพอติดลมป่าขึ้นมาก็ใช้วิธีสื่อสารทุกชนิดในยุคนั้นจัดการกิจธุระจนตัวเองสามารถอยู่ต่อได้อีกวันสองวันหรือหลายวัน พี่ๆ รุ่นใหญ่วันนี้ได้ฉายซ้ำเหตุการณ์แบบเดิมให้ดูอีก ทั้งที่มีกำหนดลงเขาก่อนเพื่อทำธุระในหน้าที่การงาน แต่หลังจากเก็บสัมภาระลงเป้มาวางไว้ลานหินแล้วก็หายตัวไป รู้ทีหลังว่าไปโทรศัพท์ที่หน้าผา ครู่ใหญ่จึงกลับมาแจ้งว่าเปลี่ยนแผนเป็นกลับพรุ่งนี้พร้อมกัน เคลียร์งานเรียบร้อย นับว่าเป็นรุ่นใหญ่กันแล้วจริงๆ สืบทอดแบบอย่างมาครบกระบวน ดีแล้ว ที่คืนสุดท้ายนี้ผมจะได้มีโอกาสฟังเพลงเพราะๆ ตอนอยู่ยาม เพราะสองคืนก่อนเพลงก็ไม่ได้ฟัง เวรยามก็ไม่ได้อยู่ หลับ ตลอดตามที่สังขารอำนวย
………………………………………………………..

นิม - (405)หน้าผาตาลโตนดที่เดิม ใกล้เคียงเวลาเดิม คนร่วมทางเดิม แต่ความรู้สึกเป็นอีกอย่าง… ต้นไม้ชะลูดเด่นคล้ายต้นตาลผิดแผกจากเผ่าพวกต้นนั้นยังยืนสูงค้ำหน้าผาเหมือนที่ยืนมาหลายสิบปี มันคงไม่สนใจว่ามนุษย์ตัวจ้อยที่ยืนชมหน้าผาจะมีความรู้สึกต่างกันอย่างไรระหว่างเมื่อสี่วันก่อนกับวันนี้ จะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินหรือรับพลังสดชื่นจากการมาอยู่ในป่าเพียงใด เดินลงไปแล้วจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่ พอๆ กับที่มันคงไม่สนใจว่าใครจะเรียกมันว่า ตาลโตนด กะพ้อ คล้อ ปาล์มหรืออะไร มันคงไม่สนใจ…

…บันทึกโดย…สว. (สาวร้องวี้ด)
๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙

One thought on “ผาตาลโตนด : รับน้อง..หื้อออ..ไม่น้องแล้ว

  1. ฮาๆๆๆ
    ในทุกก้าวย้าง มีรอยทางให้จดจำและคิดถึง