ห้วยน้ำใส ทริปนี้ใครไม่ไปถือว่าพลาดมาก!! หลังจากที่รถมาส่งเราลงตรงทางเข้าห้วยน้ำใส ระหว่างรอสารถีเอารถไปเก็บ ทุกอย่างเป็นปกติจนน่าแปลกใจ ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแฮะ! ทางเดินอันแสนกว้างขวาง มองเห็นทางชัด เราเดินตามกันไปเรื่อยๆ พูดคุยกันบ้างเป็นระยะ เราเดินท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาได้สักระยะ จนผ่านอาจารย์ชุมพล ที่หยุดถ่ายรูปคนที่เดินผ่าน ทีละคนๆ จนได้ยินเสียงคิง“เจ้าพ่อเพลงฮิต” บอกให้อาจารย์เดินไปพร้อมกัน แต่เหมือนอาจารย์ยังอยากจะถ่ายรูปเหล่าผู้สูงวัยที่เดินตามๆ มา ห่างๆ ทางด้านหลัง เราค่อยๆ เดินห่างจากกลุ่มผู้สูงวัยออกมา จนถึงทางแยก พี่มอร์ที่อยู่ข้างหันมาถามว่า“เราต้องไปทางไหน?” เด็กๆ อย่างพวกเราเลือกที่จะเดินตรง เวลาผ่านไปอีกแค่ชั่วอึดใจ
เราหยุดพักเหนื่อย เมื่อผ่านทางแยกนั้นมาได้ไม่นาน เราไม่รู้ว่ากลุ่มสูงวัยด้านหลังมีใครบ้าง แล้วกลุ่มที่ออกเดินก่อนหน้ามีใครบ้าง แต่ที่รู้ คือ เราหยุดพักเพื่อรอกลุ่มที่เดินตามมาด้านหลัง รอสักพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่เห็นวี่แววของพี่ๆ “หรือว่าจะแยกไปทางซ้าย” พี่นิม ตั้งข้อสังเกต
หลังจากพักจนหายเหนื่อยแล้ว แต่ยังไม่เห็นว่าจะมีใครตามมาสักที คราวนี้เครื่องมือสื่อสารคงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด แต่ติดตรงที่ว่า คนที่มีเบอร์ดันไม่พกโทรศัพท์เข้าป่า ส่วนคนที่พกก็ดันไม่มีเบอร์ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องหาตัวช่วยอื่นเพิ่ม พี่อั๋น ผู้เป็นกุญแจหลักของเรื่องนี้ ถึงปีนี้พี่อั๋นจะไม่ได้มารวมทริป แต่เบอร์โทรศัพท์ที่ได้จากพี่อั๋นมาทำให้เราฮากันได้ตลอดทั้งทริป หลังจากได้เบอร์มาเรียบร้อย คิงก็กดโทรฯ หาทันที เราไม่รู้ว่าปลายสายคุยอะไรกันในเวลานั้น เราได้แต่นัดเจอกันที่จุดชมวิวตรงหน้าผา
๑๒.๓๐ น. เราพากันมาถึงจุดชมวิว นั่งรอนอนรอพี่ๆ ถึงคราวที่คิงจะมาเล่าเฉลย ข้อความที่พูดคุยกันเมื่อสักครู่ คิงเล่าว่า ตอนโทรฯ ไปหา พี่โอ๋ ได้ยินเสียงพี่โอ๋กำลังหายใจฟืดฟาด พร้อมกับบอกว่าตัวเองอยู่บนเขาใหญ่ “ผมก็อยู่เขาใหญ่พี่ แล้วพี่อ่ะ อยู่ส่วนไหนของเขาใหญ่” เท่านั้นความฮาก็เริ่มต้นขึ้น เนื่องจากคนเล่าไม่ได้เล่าเพียงอย่างเดียว แต่มีเสียงลมหายใจแบบพี่โอ๋ประกอบด้วย เมื่อสัญญาณโทรศัพท์ยังมี เด็กๆ ที่คอยบนหน้าผา โทรฯ ไปหาผู้สูงวัยอีกครั้ง พร้อมกับถามว่าพี่อยู่ตรงไหนกัน ส่วนพวกเราอยู่ตรงหน้าผาแล้ว ให้พี่ลองมองหา ต้นตาลโตนด ต้นยางหงิกๆ แล้วคำตอบที่ได้จากปลายสายก็ทำให้เรานั่งหัวเราะกันได้อีก เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ รุ่นใหญ่ที่หายไปก็ยังไม่มาสักที เราเริ่มนับชื่อคนที่หายไป เอ๊ะ!! ใครมั่งนะ พี่หมออุ๊ พี่อโศก พี่เอส พี่โอ๋ อาจารย์อ้วน พี่เติ้ล พี่ยุ้ย แล้วก็พี่เจ้าหน้าที่อีกคน ไม่รู้ใครหันไปถามว่าพี่เจ้าหน้าที่คนนั้นชื่ออะไร “ชื่อแอ๊ดครับ”เสียงตอบกลับมา พี่นิมเลยเสนอชื่อ“ผารอ ออ” ส่วนคิงก็เสนอ ว่าไหนๆ ที่สมอปูนมี ห้วยรอซอ แล้ว ปีหน้าก็ต้องทำป้าย ผารอ ออ ด้วย สลับกับเสียงหัวเราะ น้องรุ่นเล็กยังคงกู่ตะโกน ส่งเสียงเรียกพี่ๆ เป็นระยะๆ
เวลาผ่านไปจนข้าวกลางวันเริ่มย่อย พี่อุ๊ เป็นผู้รอดชีวิตเดินขึ้นมาคนแรก ทันทีที่มาถึง น้องๆ ที่รออยู่นานก็ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“พี่อุ๊ ไปเดินเล่นไหนมาพี่ ทำไมมอมแมมแบบนั้น หลงป่ามาจากไหนพี่” ทุกคำถามจะได้คำตอบกลับมาเป็นเสียงหัวเราะที่ดังก้องหน้าผาของน้องๆ ผู้รอดคนแรกยังโชคดี ที่คนที่กุมความลับไว้ทั้งหมดอย่างคิง ไปเข้าห้องน้ำ ไม่เช่นนั้น พี่อุ๊อาจจะรู้สึกว่าน่าจะยอมเล่นมุชห้าบาทสิบบาท ดีกว่ามุขราคาแพงแบบนี้ก็เป็นได้ รออีกไม่นานกลุ่มผู้สูงวัยก็เดินมากันครบ รอให้พี่ๆ ที่เดินเล่นไปไกลหายเหนื่อย แล้วเราก็เริ่มออกเดินกันอีกครั้ง
ถึงแคมป์ สุมไฟไล่เห็บ เก็บของทุกอย่างเข้าที่ หาฟืน จัดการที่นอน เตรียมหุงหามื้อเย็น หลังจากมื้อเย็นผ่านไป สี่สาวอย่างเราก็ได้เวลาลงไปนอนแช่น้ำ ท่ามกลางแสงจันทร์ แลกเปลี่ยนความคิดแบบผู้หญิงๆ จนรู้สึกว่าหนาวเลยขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนพวกผู้ชายอาบน้ำกันตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน คืนนี้หลายคนนอนตั้งแต่หัวค่ำ อาจเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ฟังเสียงกีตาร์ขับกล่อม ข้างกองไฟ ลมโชยเบาๆ ดาวดวงเล็กๆ เต็มท้องฟ้า หลังแสงจันทร์ลาลับเสียงพี่หวานปลุกยามเช้า ชวนไปถ่ายรูป แต่ด้วยความง่วงกับความขี้เกียจที่มีเยอะในตัว ทำให้บอกกับพี่หวานไปว่าไม่ไป ให้พี่หวานนำไปก่อนเลย รู้สึกตัวอีกที สมาชิกที่เหลือก็ลงไปกินข้าวบนลานหินข้างลำธาร ส่วน เปรี้ยว พี่สอง และจูน ยังคงพลิกตัวไปมาบนเปล ก่อนจะค่อยๆ เลื้อยตัวลงมาจากที่นอนช้าๆ ทำภาระกิจส่วนตัว ก่อนจะเดินลงไปเล่นน้ำ เราเลือกที่จะนั่งถ่ายรูปอยู่ตรงน้ำตกเล็กๆ ใต้ร่มไม้กับจูน คุยกัน หงุงหงิง ไปตามเรื่องตามราว ในขณะที่ส่วนใหญ่เลือกจะเดินลงไปเล่นถัดออกจากเราไป
เวลาบ่ายคล้อย เราค่อยๆ ทยอยเดินกลับ เปลี่ยนที่เล่นน้ำบ้าง กลับมานอนบ้าง สองสาวอย่างเรา เลือกที่จะเดินหยิบกล้องไปถ่ายผีเสื้อ แต่ดูเหมือนวันนี้โป่งที่ทำไว้เมื่อคืนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไร ผู้สูงวัยเลือกที่จะนอนแช่น้ำกันต่อ หนุ่มๆ เลือกเป็นหน่วยทลายซ่อง ส่วนพี่หมออุ๊ พี่หวาน อั้ม และ พี่มอร์ หายไปตั้งแต่เช้า หลังจากเล่นน้ำและเผาผู้สูงวัยกันจนเป็นที่พอใจ เราเลือกที่จะเดินไปตรงไม้ล้ม ไปหาที่เย็นๆ นั่งคุยกัน ไม่นานพี่เติ้ลก็เดินตามมาสมทบ จากนั้นความสัมพันธ์ของสาวๆ อย่างเราก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะทริปนี้มีสาวๆ มาน้อย เราเลยต้องดูแลกันเป็นพิเศษ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ แต่จนแล้วจนรอด ทีมของพี่อุ๊ ก็ยังไม่กลับมาสักที เสียงเพลง เสียงกีตาร์ ค่อยๆ หายไป พร้อมกับเสียงเพลงของคิง ที่ค่อยๆ ดังขึ้นแทน คนฟังใจแทบขาด ด้วยความเป็นห่วง คิงถึงกับแต่งเพลงให้เป็นพิเศษ สุดท้ายแล้วคืนนี้ ผู้รอดชีวิตที่เหลือจนเช้าคงเป็น เปรี้ยว วุ้น คิง ส่วนดาว ไม่รู้แอบไปนอนตอนไหน ความจริงเพื่อนๆ จะไปนอนแต่คิงขอร้องให้อยู่สุขสันต์วันเกิดให้ก่อน
หลังจากมีคนมารับช่วง ฟังเพลงของคิงตอนเช้า คนที่อยู่รีบหนีไปนอนกันอย่างรวดเร็ว รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็เกือบเที่ยง ค่อยๆ เลื้อยตัวลงไปเล่นน้ำกับผู้สูงวัย คว้ากล้องมาถ่ายผีเสื้อบ้าง หันไปจิบชาบ้าง ชีวิตจะดีอะไรขนาดนี้ หน่วยทลายซ่องยังคงทำหน้าที่เดิม ขณะที่นอนแช่น้ำอย่างสบายใจ สายตาก็หันไปเห็นก้อนหินในน้ำก้อนนึง เลยลองหยิบมาถูๆ ฝนๆ กับไม้ เอ๊ยย…เหมือนที่โต๋เคยทำตอนมารอบที่แล้วเลย หันซ้ายหันขวา เจอจูนนอนอยู่ข้างๆ เลยจัดการจับจูนมาเป็นเหยื่อ เข้าพิธีกรรมเดินต่อตูดนางพญา จูน ก็ยอมให้แต่งแบบไม่มีคำถาม ถือว่าเป็นตัวอย่างของสมาชิกที่ดี สักพักกลุ่มผู้สูงวัยบางส่วนที่ติดธุระวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับก่อน ก็ค่อยๆ เดินขึ้นจากน้ำไปเก็บกระเป๋าเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวเดินออก แต่ไม่นาน พี่นิม เดินมาบอกให้ดูแลพี่เติ้ลหน่อย กลุ่มผู้สูงวัย“ไหล” ออกพรุ่งนี้พร้อมกัน ตอนเย็นวันนี้พวกเราเลือกที่จะนั่งคุยกัน ความจริงจะเรียกว่าคุยกันก็ไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะออกจะเป็นการหยิบเอาเรื่องที่กลุ่มผู้สูงวัยสร้างเสียงหัวเราะ ไว้ให้ตั้งแต่วันที่เดินเข้ามาตั้งแต่วันแรกขึ้นมาเผามากกว่า
ในวันสุดท้ายของการอยู่ในป่า พวกเรายังคงใช้ชีวิตแบบไม่รีบ ไม่ร้อน เหมือนเช่นเคย เวลา ๓ คืน ๔ วัน ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงมารอบนี้น้ำจะลดลงไป แต่เสียงหัวเราะของพวกเราไม่เคยจางหายไปไหน
โดย ………
นางพญา
๒๐ เมษายน ๒๕๕๙