..เมื่อเยือนป่าเพื่อนบ้าน…ห้วยน้ำเย็น ปางสีดา
บนผืนป่าดงพญาไฟดงเดียวกัน เขยิบจากเขาใหญ่ไปนิด เราจะพาท่านผู้อ่านท่องป่าเพื่อนบ้าน เพื่อจะได้รู้จักดงพญาไฟมากขึ้น
“พี่โก๊ะ” วิศวกรหนุ่มใหญ่แต่ร่างสูงบาง ไว้ผมยาวถึงหลัง ผ่านชีวิตมาแล้วมากมาย ทั้งตีรันฟันแทงสมัยเรียนช่าง ท่องเที่ยวแบบซำเหมา โบกรถ นั่งเรือไปเกาะ มีเงินพอแค่ซื้อข้าวสาร จับปลาหามะพร้าวกิน แกเล่าว่าเงินร้อยเดียวแกเคยกางเต็นท์อยู่บนเกาะเสม็ดกับเพื่อนซี้ได้เป็นอาทิตย์ วันหนึ่งแกจับพลัดจับผลูมาเจอกลุ่มเราบนเขาใหญ่ กลุ่มส้นตีนเรารุ่นนั้น (รุ่นแรกๆ …เดอะมาก) เห็นแกกับเพื่อนมาดูนกที่ผากล้วยไม้ หน่วยก้านท่าทางพอจะไปกะเราได้เลยทำความรู้จัก…สักกรึ๊บ แล้ววันเวลาผ่านไป เราได้เดินป่าด้วยกันหลายครั้งทั้งสมอปูน คลองอีเฒ่า เขาแหลมทำให้สนิทกันมากขึ้น พอรู้ว่าแกเป็นคนง่ายๆ ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาว รองเท้าคอนเวอร์ส รองเท้ากะกางเกงจะใส่แล้วซักจนขาดค่อยซื้อใหม่ มีเสียงหัวเราะเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเลียนแบบอาจจะขาดใจตายได้ และแกไม่ชอบถั่วฝักยาว ถึงขั้นมองเห็นก็ไม่ได้ ซึ่งไม่แปลกเลยถ้าเราจะใช้แกล้งแกเล่นบ่อยครั้ง แต่ต้องระวังโดนแกเตะไซ้ด์ก้อย..นิ้วเท้านิ้วก้อยแกใหญ่กว่าหัวแม่เท้าอีก!! ถ้าเจอแกลองขอดูก็ได้แต่อย่าขูดหาเลขล่ะ จากนั้นไม่นานพวกเราได้ข่าวว่าเพื่อนซี้ที่ติดกันเป็นปาท่องโก๋ของแกจากไปด้วยมาลาเรีย แกเลยลุยฟ้าลุยน้ำไปกะพวกเราแทบทุกรายการ จนวันหนึ่งธุรกิจก่อสร้างของแกคงดี พี่โก๊ะเลยถอยรถเชฟโลเลต์ โคโลราโด สีดำ โฟร์วีล ออปชั่นครบ บอกว่าไว้ขับไปเที่ยวกัน เลยได้โอกาสหาเรื่องเที่ยวไกลออกไปกว่าเดิม
ผลจากการวางแผนเที่ยวชิลด์ๆ สุดสัปดาห์ของปลายเดือนกันยายน ปี 2547 เป็นการประเดิมรถใหม่ “ไอ้โด้” ของพี่โก๊ะ และเรายังมีสาวต่างแดน “น้ำฝน” หรือ Doriss นักศึกษาสาวจากสวิทเซอร์แลนด์มาเยือนและทำวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทย ให้เราพาเที่ยวป่า อ้อ! ยังมีเพื่อนเราสาวไทยไปเรียนนอกถึงอังกฤษชื่อ “เจ๊ป่วง” มาเที่ยวช่วงปิดเทอมด้วย ฝ่ายเราเลยจัดพี่หน่อง ป้าอ้อยใหญ่ พี่โก๊ะ อโศก เอ๊ด พี่อุ๊ โอ๋ เก่ง น้อง และอั๋นมารับรอง ต้อนรับขับสู้ (เหมือนก๊วนคลองสามแยกยังไงไม่รู้) จุดหมายคือ อุทยานแห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้วที่อยู่ไม่ไกลบ้านมากนัก
เลิกงานเย็นวันศุกร์รวมตัวกันออกเดินทาง แต่กว่าจะถึงที่ทำการอุทยานฯ โน่น! บ่ายวันเสาร์ อ่านแล้วงง..ไอ้โด้นี่รถยนต์นะไม่ใช่จักรยาน ขับรถแบบไหนกันเนี่ย คำเฉลยคือ พลบค่ำตอนรถผ่านอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิงตอนบน ใครไม่รู้ชี้ชวนให้ดูความงาม แถมยังได้ที่จอดรถเหมาะเจาะ เป็นแหลมยื่นไปในน้ำซะด้วย ดูไปดูมาหลายรอบพร่องไปค่อนขวดหงส์ ซวยแล้ว! ติดลมชักไม่อยากไปต่อ จัดการปูผ้ายางกางฟลายชีท กันลมกันน้ำค้าง ก่อไฟด้วยเศษไม้ที่มีน้อยนิด ดูวิวกันไป รินไปคุยไปเบาๆ แล้วก็ค่อยๆ เงียบเสียงคุยลง ยิ่งเสียงที่บอกว่าอยากเดินทางต่อยิ่งไม่ได้ยินเลย
แม้จะอ้อยอิ่งยิ่งกว่าหมอกน้ำยามเช้า ละเลียดกาแฟกันตามวัฒนธรรมก็แล้ว หรือน่าทึ่งกับความสามารถหาหนทางปลดทุกข์หนักของบางคนก็แล้ว (ทั้งที่แห่งหนนั้นมีแต่กอหญ้าหรอมแหรม มีรอยรถรอยคนเปรอะไปหมด รอบข้างยังมีแต่รีสอร์ท) แสงแดดก็ยังเร่งเร้าให้เดินทางต่อ เพราะไม่มีร่มไม้ใบบังให้เราอยู่ได้เลย… ถ้าไม่งั้นวันเสาร์ก็อาจไม่ถึง
ที่ตลาดสระแก้ว เสบียงถูกเตรียมไว้สำหรับเย็นเสาร์กับอาทิตย์เช้า ขออนุญาตสำหรับพักแรมหนึ่งคืน เราเลือกไปหาที่พักที่ “หน่วยพิทักษ์ฯ ห้วยน้ำเย็น” ซึ่งต้องให้ไอ้โด้พาขึ้นเขาไปตามทางลูกรังประมาณ 20 กิโลเมตร เดิมทางเส้นนี้ตัดข้ามแนวเขาไปทะลุถึงอำเภอเสิงสาง นครราชสีมา แต่เมื่อเขาเทือกนี้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติทับลานและปางสีดา จึงปิดถนนสายนี้ให้วิ่งได้ถึงแค่ ก.ม. 25 จุดชมวิว ถ้าจะไปต่อต้องมีดีพอตัว และต้องทำการบ้านอีกเยอะ
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติปางสีดาที่ 5 (ปด.5) “ห้วยน้ำเย็น” ตั้งอยู่กลางป่าปางสีดา บริเวณนี้เป็นต้นน้ำห้วยน้ำเย็นซึ่งไหลไปรวมกับห้วยโสมงไหลลงอ่างเก็บน้ำห้วยโสมงในพระราชดำริซึ่งกำลังก่อสร้าง จากนั้นจึงลงแควหนุมาน (แควที่เกิดจากห้วยใสใหญ่กับห้วยใสน้อยไหลรวมกัน) ที่เป็นหนึ่งในต้นแม่น้ำปราจีน สิ่งอำนวยความสะดวกอาจสู้คีรีมายารีสอร์ทไม่ได้ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ดูแลที่ใจดี มีศาลายกพื้นให้นอนได้นับสิบคนไว้พึ่งพิงถ้าฝนตกหนักมาก มีลานหญ้าตั้งแค้มป์ใกล้ลำธารใสเย็นสมชื่อห้วยน้ำเย็น ที่ถูกใจมากคือฐานก่อไฟ อากาศยามบ่ายที่เราไปถึงน่าเล่นน้ำยิ่งนัก ดังนั้นจึงรีบช่วยกันตั้งแค้มป์ หาฟืนไฟ จากนั้นก็ตั้งวงเหล้าเล็กๆ กลางลำธารโดยใช้น้ำเย็นในลำธารแทนน้ำแข็ง มีเจ้าโอ๋เป็นบาร์เทนเดอร์ เวลาถึงรอบของมันมันมักรินแล้วทำเสียง “โอ๊ะ-ๆ-ๆ!” ให้เพื่อนรู้ว่าตัวรินพลาด เลยได้เหล้าปริ่มแก้วเยอะกว่าเพื่อน ปรากฏว่ารินไปหลายรอบพอมึนๆ แต่พอกินต่อไปทำไมเริ่มสร่าง ค่อยมาเห็นว่าเหล้าหงส์ในขวดยังเต็มอยู่เหมือนเดิมแต่สีจางลงไปเรื่อยๆ โธ่เอ๋ย! เจ้าโอ๋มันแช่ขวดในน้ำ น้ำเลยเข้าซะจืดเลย วงเหล้ากลางน้ำก็ต้องสลายกันด้วยประการฉะนี้
บ่ายที่เราไปถึงมีนักท่องเที่ยวอยู่สามสี่กลุ่มนั่งๆ นอนๆ ที่ศาลา เล่นน้ำ ถ่ายรูป จู๋จี๋กัน พอแดดเริ่มอ่อนแสงก็พากันกลับลงไปหมดเลย กลัวมืดหรือกลัวหน้าเราฟะ? กิจกรรมยามเย็นก็คือดูพระอาทิตย์ตก ณ จุดชมวิว ก.ม. 25 ขับรถต่อไป 5 กิโลเมตรสุดทางที่รถยนต์จะไปได้ เป็นมุมชมพระอาทิตย์ตกโดยมีแนวเขาซับซ้อนเป็นฉากหน้าเหมือนกับหลายๆ ที่ ยกเว้นที่บ้าน เลยต้องถ่อมาดูถึงนี่ แม้จะเหมือนๆ กับหลายที่ แต่ฟ้าหลังตะวันลับก็ยังงามจับตา ให้ปล่อยจิตไปตามใจ แล้วแต่ใจใครจะพาไปทางไหน แสงที่อ่อนเย็นลง ลมเย็นพัดเบาๆ ภาพที่เย็นตาบอกความต่างในเสน่ห์ของดวงอาทิตย์ยามตกดินที่แสนเย็นใจ ต่างกับความสวยแบบเร่งเร้าในแดดเช้า ยามที่ดวงอาทิตย์เจิดจ้าขึ้น เราดูไปกระทั่งฟ้ามืดสนิท จนจำได้ว่าถ้าได้ดูพระอาทิตย์ตกทีไร เป็นได้ดูดาวต่อทุกที ค่ำนี้แม้จะเห็นดาวชัดเจนแต่ก็ยังเห็นเค้าฝนมาแต่ไกล
ฝนตกหนักตอนหัวค่ำพอให้มีความลำบากบ้างในแค้มป์ สาวๆ ที่ไม่คุ้นกับความเฉอะแฉะเราก็จัดให้อยู่ศาลารับแขกอย่างอบอุ่นและแห้งสบาย ส่วนพวกที่อยู่รอบกองไฟก็มีกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ น้ำฝนก็นั่งพูดคุยบอกเล่าสิ่งต่างๆ ที่สวิทเซอร์แลนด์ให้พวกเราฟัง พวกเราสนใจมากเพราะหน้าอกหน้าใจคนเล่านั้นน่าสนใจ เรียกได้ว่า “สนอกสนใจ” จริงๆ เธอยังเอาชี้สที่บ้านเธอหมักเองมาให้ลองชิม
ผลิตภัณฑ์นมผ่านการหมักนี้เธอบอกว่าคนสวิสฯ ภาคภูมิใจยิ่งกว่าช็อคโกแลตเสียอีก เพราะชี้สเป็นอาหารที่แต่ละหมู่บ้านหรือท้องถิ่นมีสูตรเฉพาะทำกินเองหรือเก็บไว้ฝากคนแดนไกล คล้ายกับคนอีสานภูมิใจในปลาร้าของตนยังไงยังงั้น สรุปแล้ว “ชี้สที่ดีต้องหอมเหมือนง่ามนิ้วตีนเน่า ใส่รองเท้าเดินป่ามาสามวัน”
…………………………………………………..
เช้าวันอาทิตย์เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ตื่นอีกทีก็บ่าย สองสามคนนั่งไม่ติดเพราะต้องกลับไปเตรียมทำงานวันจันทร์ แต่อีกหลายคนรู้สึกว่าการพักผ่อนเพิ่งเริ่มต้น จึงตกลงเข้าเมืองสระแก้วไปส่งคนที่จะกลับ พร้อมซื้อหาเสบียงใช้ผจญภัยต่อไปในอนาคตอันไม่แน่นอน คงเหลือพี่หน่อง พี่โก๊ะ น้ำฝน เจ๊ป่วง หมออุ๊ เก่งและอั๋น ด้วยว่าเพิ่งตื่นนอนตอนบ่าย กิจวัตรต่างๆ เลยเคลื่อนไปตามปกติ ผิดแต่เวลา เลยเที่ยงคืนพระจันทร์สว่าง ถนนลูกรังอันสงัดเงียบนั้นน่าเดินอาบแสงจันทร์สีเงินอย่างยิ่งเราจึงพากันออกมาเดินบนถนน แล้วแผนการต่อไปก็ผุดในหัว ลงตัวเหมือนสวรรค์เขียนแผนที่ เพราะเมื่อเดินตามถนนไปได้ 2 กิโลเมตร มีทางเดินป่าแยกขวาเข้าสู่ “น้ำตกทับซุง” ซึ่งเราก็เดินตามไฟบ้าง ตามแสงจันทร์ลอดใบไม้บ้าง เดินในป่าได้ชั่วโมงเศษ เจอห้วยกว้างกว่าสองวาลึกเพียงเอวให้เราข้าม เมื่อข้าม แล้วก็เดินเลาะห้วยนั้นข้ามไปกลับสามสี่ครั้งดีที่น้ำใสมากเห็นพื้นเป็นทรายชัดเจน บางทีก็เห็นปลาขนาดกำลังดีเป็นฝูง เราเดินเลาะอยู่เกือบชั่วโมงจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำตกแรงก็ตัดทางเข้าให้ถึงน้ำ พบน้ำตกทับซุงไหลจากก้อนหินสูงประมาณสามเมตรลงแอ่งน้ำใหญ่แล้วไหลล้นสู่แก่งหินหลายชั้นให้เลือกเล่น ริมตลิ่งยังมีลานเล็กๆ พอปัดกวาดนั่งตั้งเป็นฐานบัญชาการ อาจารย์หน่องเจ้าพิธีจึงก่อไฟกองเล็กๆ และยังจุดเทียนขึ้นรอบลานนั้นแล้วอยู่เฝ้ากับพี่โก๊ะเป็นสองหนุ่มผมยาว อากาศไม่ถึงกับเย็น น้ำก็น่าเล่น เราจึงเล่นน้ำอย่างไม่เกรงใจใคร เจ้าเก่งก็ได้ลองตกปลาตามแอ่งน้ำต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน เจ๊ป่วงถึงกับใส่ทูพีชลงเล่นไม่ว่ากัน (ถ้าให้น้ำฝนใส่น่าจะดีกว่า)
น้ำตกทับซุงเป็นสาขาหนึ่งของห้วยพลับพลึง ที่นอกจากน้ำตกทับซุงแล้วยังมีน้ำตกธารพลับพลึง น้ำตกธารค้างคาว และอีกหลายน้ำตกที่น่าสนใจแต่ต้องเดินลึกไปตามป่าไผ่รกที่ดูแล้วมีคนเดินน้อยเต็มที ห้วยพลับพลึงไหลคนละสันเขากับห้วยน้ำเย็นที่เราพัก จึงไหลลงอ่างเก็บน้ำพระปรงไหลต่อเป็นคลองพระปรงที่เป็นอีกต้นน้ำหนึ่งของแม่น้ำปราจีนเหมือนกัน หลังจากที่เราเล่นน้ำกันจนอิ่มหนำไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงจึงขึ้นมารวมพลที่ลานอาจารย์หน่อง เอาปลาที่ตกได้มารวมกับเสบียงที่เตรียมมา ได้ปลาทอด ข้าวสวยร้อนๆ มาม่าต้มไว้ซดน้ำ ง่ายๆ แต่ประทับใจ เติมพลังหลังขึ้นจากน้ำ จากนั้นเป็นเวลาที่จะได้นั่งคุยกันเบาๆ ส่งเหล้าให้กันช้าๆ ฟังเสียงสายน้ำตกซู่สม่ำเสมอไม่หยุด ดูแสงจันทร์คล้อยไปทางหลังน้ำตกส่องแสงเฉียงฉายลำไผ่ที่โค้งจากกอลงหาน้ำเกิดภาพงามสงบคล้ายภาพปริศนาธรรมในวัดเซน… ต่างคนต่างบันทึกทัศนียภาพสุดท้ายของคืนนี้ที่น้ำตกทับซุงด้วยความทรงจำของใครของมันก่อนเดินย้อนทางกลับออกมาสู่ถนนที่ยังคงสว่างด้วยแสงจันทร์แต่อ่อนคล้อยไปทางขอบฟ้าสร้างเงาแปลกและงามตากับไม้ยอดสูงเป็นของขวัญจากป่าเขาและดวงจันทร์ให้คนแหกคอกนอกวงจรอย่างพวกเราดูก่อนเข้านอน…
……………………………………………………………………
บ่ายวันจันทร์ เมื่อตื่นขึ้นมาเราแบ่งปฏิบัติการเป็น 2 ทาง ทางหนึ่งเข้าเมืองไปหาเสบียงมาเพิ่มเพราะเราวางแผนล่วงหน้าแล้วว่าจะอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน (นี่นะ..วางแผนล่วงหน้า เป็นการวางแผนล่วงหน้าสุดๆ แล้วที่พวกนี้ทำได้!) อีกทางเร่งรีบหาข้อมูลเส้นทางเดินป่าที่น่าสนใจจากการถามเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย ป.ด. 5 และจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่คนมักไปดูว่ามีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง ถ้าดูให้ละเอียดก็มีกิจกรรมมากมายให้ลุ้น สรุปได้ว่าเส้นทางที่น่าสนใจที่สุดไม่ต้องไปเริ่มที่ลุ่มลำห้วยอื่นไกลเลย เป็นเส้นทางทวนย้อนห้วยน้ำเย็นที่เราพักอยู่นั่นเอง เมื่ออิ่มท้องกับอาหารเย็นและสรวลเสกันตามประสาจนเห็นดวงจันทร์ข้างแรมอ่อนๆ ลอยพ้นแนวไม้ ไร้วี่แววกิจกรรมของมนุษย์อื่น บอกเวลาเตรียมพร้อมออกผจญภัยอีกครั้ง ตะเกียงแก๊ส ไฟฉาย เสบียง ผ้ายางพวกเราได้ขึ้นมาอาบแสงจันทร์บนถนนอีกคราว มองหาจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินที่ฟังมาว่าอยู่แถวๆ สะพานที่ตัดข้ามห้วยที่พักนี่เอง ไม่นานก็พบช่องทางเดินเท้าเล็กที่ยังรกเรื้อไปตามลำห้วย ป่ารกสองข้างทางสงบมืด มีเพียงเท้าทั้งเจ็ดคู่เดินลัดเลาะไปข้างลำธารเล็กๆ ที่ไหลเป็นเพื่อนกันไป เดินไปประมาณค่อนกิโลเมตรทางน้ำหักโค้งแล้วแผ่กว้างออกก่อนจะแยกกันตกไปตามร่องหินใหญ่น้อยต่างขนาดกันไป ต้องเดินข้ามช่วงกว้างด้านบนของสายน้ำเพื่อมาให้ถึงอีกฝั่งที่เป็นลานกว้างพอได้ก่อไฟตั้งวงชั่วคราว จัดแจงลานพัก ก่อไฟเป็นจุดศูนย์กลางของพวกเราเสร็จดี ให้หนุ่มผมยาวนั่งนอนเฝ้าเหมือนเคย ที่ข้างลานที่พักก็มีทางน้อยให้คนที่จ้องเล่นน้ำเดินลัดเลาะลงไปถึงด้านล่างน้ำตกที่น่าจะมีชื่อว่า “น้ำตกห้วยน้ำเย็น” ตามชื่อลำห้วยของมัน ซึ่งแบ่งเป็นสี่สายเรียงหน้ากระดานลงมา ความสูงของสายน้ำที่ตกลงมานั้นสูงกว่าศีรษะเล็กน้อย แต่ละสายมีปริมาณน้ำมากน้อยต่างกันทำให้มีความแรงค่อยให้คนเลือกเล่น ตรงแอ่งน้ำเป็นที่น้ำทั้งสี่สายไหลมารวมกันแล้วค่อยไหลต่อไปเป็นแก่งไปเรื่อยๆ หายไปในความมืด ความลึกของแอ่งน้ำระดับหน้าอก (วัดจากหน้าอกน้ำฝน) พอให้แหวกว่ายเล่นอย่างจุใจหรือจะตะเกียกตะกายเข้าไปใต้สายน้ำตกให้มันนวดตัวเล่นเจ็บๆ ก็เพลินดี เป็นสปานวดตัวให้เลือกความแรงสี่ระดับความเจ็บปวดตามชอบ…ซาดิสม์ ถ้าทรงตัวไม่ดีมันก็จะถีบออกมาลงแอ่ง ความน่าเล่นของมันมีมากกว่าน้ำตกทับซุงที่เดินไปเมื่อวานจนเจ้าเก่งไม่ยอมตกปลาและพี่หน่องยังมาร่วมวงด้วย มีหลายคนในค่ำนั้นทำลายสถิติการเล่นน้ำของตัวไปด้วยการเล่นนานกว่าสี่ชั่วโมงตามเวลาที่พี่โก๊ะจับไว้ เพราะมีแกคนเดียวนอนเฝ้ากองไฟเหนือธารน้ำตก เมื่อขึ้นจากน้ำก็ต้มกาแฟเรียกความอบอุ่นคืนให้กับร่างกาย แต่จะหาความอบอุ่นให้หัวใจนั้นกาแฟร้อนเท่าไหร่ก็ไม่ช่วย ได้แต่ช่วยให้ปากพอง เราทุกคนบอกลาสายน้ำและจากมาพร้อมแผนในใจว่าพรุ่งนี้กลางวันต้องมาอีกครั้งเพื่อจะได้รู้จักกันยิ่งกว่าเดิม …เดินกลับออกมาสักพักถึงถนนกว้างหน้าหน่วยฯ ฟ้าใสไร้เมฆ ลมสงบนิ่งใบไม้ไม่ติงไหว เสียงแมลงกลางคืนยังเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงน้ำลอดสะพานไหลระริกวะวิบเงาจันทร์ที่ลอยต่ำใกล้แนวไม้อีกฟากซึ่งกำลังทอแสงเงินเหงาๆ ล้อเงาไม้ใหญ่อวดเสน่ห์ของป่า ที่น้อยคนจะมีเวลาได้ทอดใจรับรู้สัมผัสอันละเมียดละมัย กับความสงบ เย็น ลึกลับและงดงามของยามนี้…
………………………………………………….
หลังเที่ยงวันอังคาร ก่อนตัดสินใจกลับบ้าน เราได้เดินเข้าไปตามเส้นทางน้ำตกห้วยน้ำเย็นที่เพิ่งออกมาตอนก่อนเช้านี้เอง จึงได้เห็นสายน้ำใสเลาะลัดไปตามพื้นธารหินสลับทราย เห็นป่าและต้นไม้รอบๆ เมื่อถึงจุดหมายก็ยังไม่วายเล่นน้ำอีกรอบ ก็อากาศยามบ่ายมันเชิญชวนไม่หยอกแม้แต่พี่โก๊ะยังลงมาโพสท์ท่าถ่ายรูปกลางสายน้ำตกแข่งความสวยที่ไม่ยอมเป็นรองใคร ก่อนที่จะเล่นน้ำจนเย็น ฝนเริ่มตกลงมาและหนักขึ้น เมื่อน้ำใสเปลี่ยนเป็นขุ่นเราเหมือนถูกบังคับให้รีบขึ้นจากน้ำเก็บสถานที่แล้วรีบออกมาก่อนที่ความไม่แน่นอนจะมาถึงมากกว่านี้ บ่ายแก่วันนั้นพาเราออกจากอุทยานแห่งชาติปางสีดากลางสายฝนพรำ ขอบคุณดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ สายน้ำใสเย็น ต้นไม้ทุกต้นและสรรพชีวิต ที่ทำให้เรามีความสุข ขอบคุณไอ้โด้กะพี่โก๊ะที่พาเราเที่ยวแล้วกลับถึงบ้านค่ำอยู่ดี และขอบคุณเจ้านายที่ไม่ไล่เราออกจากงาน
หมายเหตุ
น้องๆ หลายคนได้อาศัยไอ้โด้กะพี่โก๊ะตะลอนเที่ยวทั่วไทยทั้งอุ้มผาง ดอยผ้าห่มปก ป่าแม่วงก์ โม-โกจู แก่งกระจานไปถึงเมืองใต้ จนกระทั่งพี่โก๊ะได้เมีย ปัจจุบันไอ้โด้ถูกขายไปแล้ว แลกกับการสร้างหลักปักฐานของพี่โก๊ะที่ปากช่องเป็นการถาวร นานๆ ครั้งจะเห็นแกกับเมียปั่นจักรยานเสือภูเขาหาความเพลิดเพลินไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขาใหญ่
Doriss หรือน้ำฝนอยู่เมืองไทยอีกระยะหนึ่ง มีโอกาสเข้าป่ากับเราหลายครั้ง ก่อนจากไปเพื่อทำวิทยานิพนธ์ด้านมานุษยวิทยา (Anthropology) ที่เธอเรียนต่อไป เธอไปทั้งธิเบต จีนและอีกหลายประเทศ
บันทึก 10 ส.ค. 54
Severus