สมอปูน ๑๙-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖

mai -  (13)ทริปสมอปูนวันที่ ๑๙-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖  เป็นการเดินป่าครั้งแรกของฉัน หลังจากที่พลาดมา ๒ ปี ตื่นเต้นมากถึงกับนอนไม่หลับมา ๒ วัน ก่อนจะไปเดินป่า
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖
เช้าวันนี้เริ่มเก็บของใส่กระเป๋าไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว ของกินเช่น มาม่า ปลากระป๋อง โจ๊ก และที่ขาดไม่ได้คือ น้ำพริกกะปิฝีมือแม่ ซึ่งทำให้ไปไว้กิน หลังจากเก็บของเรียบร้อย ก็แบกกระเป๋าไปขึ้นรถประจำทางเพื่อไปที่ปราจีนบุรี(วิทยาลัยแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร) เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ เช้าเวลาประมาณ ๗ : ๐๐ น. ก็ไปแพ็คของส่วนกลางใส่กระเป๋าและสิ่งที่ฉันได้ก็คือ น้ำตาลทราย ๒ กิโลกรัม รสดีอีก ๔ ห่อใหญ่ ตอนแรกคิดว่าไม่หนัก แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย เพราะสะพายจริงๆ แล้วหนักพอสมควร แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเรา ทุกคนได้นำของส่วนกลางใส่กระเป๋าครบแล้วก็ขึ้นรถตู้ไปรอบแรกสิบกว่าคน รอบสองก็สิบกว่าคนเพื่อไปที่ด่านเนินหอม พอถึงเจ้าหน้าทีก็ให้ลงชื่อและวัดความดัน

หลังจากที่ทุกคนmai -  (1)ลงชื่อและวัดความดันเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นรถไปต่อที่ทางตรง ก.ม. ๑๔  เราออกเดินทางประมาณ ๑๐ : ๓๐ น. จากทางขึ้นเราเดินไปเรื่อยๆ เนื่องจากคนฝั่งปากช่องยังมาไม่ถึง พี่หวานบอกว่าเราจะไปคอยอยู่ที่ คลองต้มกาแฟ เดินไปยังไม่ทันถึงกิโล เราก็เคารพภูเขาแล้วน้อมคำนับโดยขาหนึ่งข้างทรุดลงไปหน้าเกือบทิ่ม นี่แค่เริ่มต้นขาก็อ่อนซะแล้ว(จะรอดไหมเนี่ย) แล้วก็ลุกขึ้นพร้อมให้กำลังใจตัวเอง(ยังไงก็ต้องไหวสู้ๆ –บอกตัวเองในใจ) เราเดินต่อไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักจนไปถึงกลุ่มของก้อนหินซึ่งเป็นทางชันระดับmai -  (3)แรกที่พบ เราหยุดพักเพื่อเอาแรงก่อนปีนขึ้นไป ก่อนปีนพี่แผนไทยฯ ก็ได้กระจายข้าวที่แพ็คมาให้ทั่วๆ กันเพื่อลดความหนัก หลังจากกระจายเสร็จเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ สองข้างทางมีต้นไม้เล็กใหญ่ให้ได้มองและเกาะ ดึง พักพิงเวลาหมดแรง เดินไปเรื่อยๆ เราก็จะพบกับพี่ๆ สลับกันมาอยู่ข้างหลังเนื่องจากเดินช้าลงบ้าง พักบ้าง จนมาอยู่ข้างหลังที่เราเดินอยู่ เช่น พี่แต พี่นัน ที่นั่งรอคนข้างหลังอยู่ด้วยสีหน้าแบบหอบๆ พร้อมหยดเหงื่อที่ไหลmai -  (2)รินเต็มใบหน้า  อีกไม่นานเราก็ถึงคลองต้มกาแฟ ประมาณเที่ยงกว่าๆ หลังจากพักสักครู่พวกผู้ชายก็ก่อไฟเพื่อต้มน้ำไว้รอกลุ่มหลัง หายเหนื่อยเราก็กินข้าวเพื่อเติมพลังงานและนั่งรอกลุ่มหลังที่เดินตามมาเรื่อยๆ ไม่นานเกินรอ กลุ่มหลังก็มาถึง ด้วยสีหน้าและสภาพเหมือนกันกับเราคือเหงื่อเต็มตั กลุ่มหลังทยอยมาเรื่อยๆ ทีละคนสองคนจนครบ หลังจากมากันครบ พี่อ๋อ ก็พูดถึงการอยู่ร่วมกันและแนะนำกลุ่มต่างๆ ที่มาเดินร่วมกัน เช่น มหาสารคาม ที่มาไกลมากแต่มาด้วยใจ ป้าหมอลุงแดงและญาติๆ พี่อ้อยและแฟน ที่อายุไม่เป็นอุปสรรคเลย พี่จากแผนไทยฯ  พี่แบซอ ซึ่งมาไกลจากยะลา พี่นิม ก็เช่นกันมาจากตรังเพื่อทริปนี้เลย พี่อั๋นและกลุ่มเพื่อนๆ พี่แต พี่นัน พี่คิงคลองหก พี่โต๋ พี่บิว น้องทิ้ว อาจารย์จุมพล พี่มอ พี่แน็ต พี่แขก และที่ขาดไม่ได้เลยคือ อาจารย์นพรัตน์ ที่เคารพของทุกคน คือแรงบันดาลใจของหนูในการเดินป่า
mai -  (7)mai -  (4)หลังจากแนะนำเสร็จ พี่อ๋อ ก็บอกให้กลุ่มแรกเตรียมตัวเดิน ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ทางที่เดินนั้นเริ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ลำบากขึ้น ทางทั้งลื่นทั้งชัน ทำเอาเราเหนื่อยพอสมควรเราเดินเข้าไปท่ามกลางไผ่ ที่มีความท้าทายมากเพราะทางลื่น และไผ่ที่จับนั้น บางอันก็ต้องดูให้ดีว่าจับได้หรือไม่เพราะอาจผุหรือเป็นต้นอ่อนที่พึ่งขึ้น แถมขนไผ่ยังคันและอาจบาดมือได้ ในการเดินจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก แต่เรากลับชอบเพราะท้าทายทำให้เราได้คิดพิจารณาก่อนว่า ทุกก้าวที่เราเดินนั้นจะมีก้าวต่อๆ ไปที่ปลอดภัยไหม ต้องมองให้ดีก่อน ถ้าทางลื่นเราสามารถเบี่ยงออกได้ไหม ทุกก้าวนั้นจึงต้องมีความคิดและใจที่ไม่ย่อท้อเราจึงจะผ่านมันไปได้ ชอบมากเลยค่ะอะไรที่ท้าทายทั้งกายและใจ
_MG_8416จากที่เราผ่านพ้น ทั้งก่อไผ่และต้นไม้เล็กใหญ่สลับกันมาตลอดทาง เราก็มาหยุดพักตรงก้อนหินก้อนที่เราจะปีนป่ายขึ้นไปทางข้างน้ำตก เมื่อหายเหนื่อยก็ลุยกันต่อ ทางที่เราขึ้นนั้นชันมากและลื่นมากทำให้การเดินทางของเราจากสองขากลายเป็นสี่ขา สองขาก็ดันพยุงตัวสองมือก็เกาะและดึงขึ้นไป ทั้งสองอย่างทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี ขึ้นไปได้ไม่ไกลนักก็มีต้นไม้ไม่พอที่จะเกาะขึ้นไป พี่หวาน  จึงต้องนำเชือกไปผูกกับต้นไม้เพื่อให้น้องๆ ได้ดึงและพยุงตัวขึ้นมา ทางชันแถมก้อนหินที่เหยียบก็ไม่มาตรฐานร่วงหล่นลงไป ทำให้คนข้างหลังได้หวาดเสียวกันเล็กๆ แต่ถ้ามีก้อนหินร่วงมาทุกคนก็จะพร้อมใจพูดว่าระวังก้อนหินร่วงทำให้คนข้างหลังได้ระวังตัว ไม่ใช่แค่มือดึง เท้าเหยียบพยุงตัว ตาก็มองทาง หูก็ต้องฟังเสียงบอกระวังก้อนหิน เป็นการทำงานของร่างกายครบทุกส่วนจริงๆ
mai -  (19)หลังจากพ้นน้ำตก มาแล้วก็นั่งพักตรงลำธารเล็กๆ และเราก็ได้ยินพี่พูดว่าอีกนิดเดียวแค่ ๒-๓ ชั้นเอง จากหายเหนื่อยเราก็เดินกันต่อด้วยสี่ขาของเรา จนมาถึงชั้นที่สามก่อนจะถึงสันเขา เรารู้สึกว่าขาจะไม่ไหวเพราะเดินไม่กี่ก้าวก็ต้องพัก ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมากและก็กลัวขาตัวเองไม่ไหวมันปวดขาและปวดไหล่ที่สะพายกระเป๋ามาก แต่เราก็ไม่ย่อท้อเดินต่อไปเรื่อยๆ เฮือกสุดท้ายก่อนถึงสันเขาเป็นอะไรที่ทรมานมาก ล้าสุดๆ เราได้ยินเสียงพี่แผนไทยฯ ที่ขึ้นไปถึงตะโกนลงมาบอกอีกนิดเดียวจะถึงแล้ว เรามองขึ้นไปเห็นท้องฟ้าไม่ไกลมาก จึงทำให้มีแรงฮึดสู้เดินต่อไป พี่โบ ก็เดินลงมาช่วยเอากระเป๋าที่ไหล่ออกไปก่อน เราก็เดินขึ้นไปจนถึงสันเขานั่งพักและรอคนข้างหลัง จากนั้นก็เดินบนสันเขาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดๆ หนึ่ง ตอนนี้ก็มืดแล้วเรามองไปบนท้องฟ้าเห็นดาวสว่าง เด่น ชัดเจน และที่เห็นเด่นชัดมากคือ ดวงจันทร์ที่ส่องประกายแสงออกมาสว่างจ้า ดวงโตเต็มดวง เพราะคืนนี้เป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ ไม่เคยเห็นดวงจันทร์ที่ใหญ่และใกล้ๆ แบบนี้มาก่อน ชอบมากค่ะนั่งมองดวงจันทร์ขึ้นอย่างช้าๆ รอคนข้างหลัง เมื่อทุกคนมาพร้อมเราก็เดินต่อไปด้วยแสงจันทร์ที่ส่องmai -  (5)บวกกับไฟฉายที่เตรียมมา เราไปพักกินข้าวกันตรงลานหอยทากที่มีลำธารเล็กๆ พอที่จะนำน้ำมาต้ม มาถึงพี่หวานก็ก่อกองไฟและต้มน้ำ ทุกคนก็หิวกันพอสมควรแล้วจึงต้มมาม่ากินกันก่อน รองท้องเพราะยังไม่ถึง ที่พัก หลังจากที่ทุกคนกินกันอิ่มแล้ว เราก็เดินต่อไปอีกพัก เดินไปไม่นานมากเราก็ถึงที่พักประมาณเกือบเที่ยงคืน ถึงที่พักเราก็ ก่อกองไฟ นำผ้าใบขึงข้างบนเพื่อกันฝนกันน้ำค้างและปูผ้าใบข้างล่างเพื่อนอนและวางของ จากนั้นทุกคนก็หาที่นอนและหุงข้าว พร้อมกับทำภารกิจส่วนตัวของตนเอง โดยพี่อ๋อได้บอกสถานที่ต่างๆ ทุกคนถึงที่พักอย่างปลอดภัย บางส่วนก็นอนพักผ่อน บางส่วนก็นั่งคุยกันและเฝ้ายาม

_MG_8599

เช้าวันที่ ๒๐ ตื่นมาก็ทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็มาช่วยพี่แผนไทยฯ ทำกับข้าว ค่ายเรามีการกินข้าวแค่ ๒ มื้อ คือมื้อสายกับมื้อเย็น หลังจากที่เราทำกับข้าวกินข้าวเรียบร้อยแล้วก็ปล่อยให้พักผ่อน บางส่วนก็ไปเดินดูดอกไม้ ถ่ายรูป บางส่วนก็นอน บางส่วนก็นั่งคุยกัน ช่วงบ่ายๆ พี่ๆ ก็เรียกประชุมเพื่อจัดเวรยามเฝ้าแคมป์ จัดทีมทำกับข้าว หุงข้าว ทำความรู้จักกันในหมู่คณะ จากนั้นก็เริ่มทยอย หุงข้าวทำกับข้าวกัน และก็เริ่มกินข้าวกันตอนเย็นตกมืดพี่แผนไทยฯ ที่อยู่ผลัดแรก ผลัดสอง รวมถึงผลัดสาม ก็นอนแต่บางส่วนก็นั่งล้อมวงคุยกันรอบกองไฟ อากาศคืนนี้เย็นพอสมควร เราก็นอนเล่นพร้อมฟังเพลงที่พี่ๆ เล่นไปเรื่อยประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ เราก็จะนอนแต่ก่อนที่เราจะนอนเราเห็น พี่นิมเตรียมของที่จะทำ ข้าวต้มรอบดึกของคืนนี้แต่เราอดกินแน่ๆ เพราะเราอยู่ผลัดสามตี ๔ ถึง ๖โมง เราจึงนอนเอาแรงดีกว่า

mai -  (8)เช้าวันที่ ๒๑ เราตื่นมาตอนตี ๔ พร้อมกับเห็นพี่หวานเริ่มทยอยหุงข้าว เราก็ไปช่วยหุงข้าว และก็เตรียมของให้พี่ๆ ทำกับข้าว ตอนเช้า ข้าวของทุกมื้อจะเต็มไปด้วยผักเพราะเยอะมาก ทุกอย่างเลยต้องมีผัก หลังจากผลัดสาม ทำกับข้าวเสร็จก็ทำภารกิจก่อนที่ทุกคนจะตื่น เมื่อทุกคนตื่นก็มาทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็มากินข้าว เพราะวันนี้เราจะเดินทางไปดูดอกไม้ที่ทุ่งพรหมจรรย์พร้อมกับเล่นน้ำ หลังจากกินข้าวเสร็จก็เตรียมของ เช่น หม้อสนาม มาmai -  (6)ม่า ปลากระป๋อง ข้าว เพราะเราจะไปกินข้าวเที่ยงกันที่นั่น เมื่อพร้อมแล้ว เราก็ออกเดินทาง โดยมีผู้คุมแคมป์อยู่สามคน คือ พี่บิว พี่โต๋ พี่คิง พร้อมรับหน้าที่ต่างๆ และดูแลอาจารย์นพรัตน์ ระหว่างทางที่เดินไป ก็จะเป็น ป่าสลับกับทุ่งเฟิร์นประมาณ ๓ ทุ่ง เราก็ถึงทุ่งคลองฟันปลาหนึ่ง เราเห็นดอกไม้บานสีม่วงสวยมาก
เมื่อเราถึงคลองพันปลาทุกคนก็ไม่อยากเดินต่อ เพราะน้ำใสและเย็นน่าเล่นมาก รวมไปถึงทางที่เราจะเดินไปต่อ เจ้าหน้าที่บอกว่าทางมันรกพอสมควร แล้วกว่าจะไปจะกลับอาจจะมืดได้ พี่ๆ จึงลงมติให้พักตรงนี้ ได้ที่พักแล้วพี่ๆ ก็ก่อไฟต้มmai -  (11)น้ำโดยทันใด น้องก็เช่นกันเริ่มทยอยลงเล่นน้ำโดยทันที แต่เราไม่สนใจเล่นน้ำเพราะเราหิวมากกว่า เนื่องจากตอนเช้ากินข้าวไปแค่สี่ห้าคำจึงหิว เราก็ต้มมาม่ากินก่อนใคร(อิ่ม) แล้วเราก็มานั่งเอาเท้าแช่น้ำไม่ค่อยอยากเล่นน้ำมันเย็นกลัวหนาว สักพักลุงแขกก็บอกว่าข้างบนมีแหล่งน้ำ เราก็เดินไปอากาศเย็นมากไปถึงเราก็เห็น พี่มอ พี่แน็ตเล่นน้ำอยู่อย่างสนุกสนาน พี่แตกับพี่นันก็กำลังถ่ายรูปอยู่ พี่มอ พี่แน็ตก็ชวนเล่นน้ำโดยบอกเราว่าไม่เย็นกำลังดี แต่ที่เราเห็นไม่ใช่เลย สีหน้าแต่ละคนเริ่มหนาวแล้ว เราเลยไปนอนริมน้ำตกบนหินสักพักเราก็ทนไม่ไหวลงมาแช่น้ำกับพี่ๆ แต่เราลงแค่ครึ่งตัวเนื่องจากเสื้อหนา ถ้าเปียกก็แห้งยากเลยไม่กล้าเสี่ยงกลัวหนาว หลังจากแช่น้ำได้ไม่นานเราก็เดินกลับลงมาที่พักพร้อมกับหาอะไรกินอีกรอบก่อนได้ยินเสียง พี่ๆ บอก ให้เก็บของเตรียมตัวกลับที่พักเราก็เดินทางกลับโดยทยอยกันไป ไม่นานเราก็ถึงที่พักมาถึงเราก็ไปทำmai -  (12)ภารกิจส่วนตัวและมาช่วยกันทำกับข้าว ตกกลางคืนหลังกินข้าวเรียบร้อยทุกคนก็มานั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์กัน เราก็นั่งฟังอยู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นดวงดาวสวยมาก ไม่นาน พี่นิม ก็ บอกว่าใครจะไปดูดาวก็มานะ แลดูมีคนสนใจมากมายแต่ไปจริงๆ แล้วมีแค่ ๖ คนรวมพี่หวานกับพี่นิม พี่นิมก็เริ่มมองหาทิศของดาวต่างๆ แต่มองเห็นไม่ชัดก็เลยบอกมาแค่ไม่กี่อย่างเราก็นั่งมองไปทางทิศเหนือไม่นานนักก็เห็นดาวตก คืนนี้เราเห็นดาวตก ๓ ดวงเห็นmai -  (14)พระจันทร์ดวงโตกำลังขึ้นเรื่อยๆ เป็นคืนที่มีความสุขมาก เพราะถ้าอยู่บ้านเราไม่สามารถมองเห็นดาวบนฟ้าได้ชัดและมากมายขนาดนี้เลย เรากลับมาที่พัก ไม่นานหลายๆ คนก็นอน แต่เรานอนไม่หลับ ในหัวคิดว่า “คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วบนสมอปูนแห่งนี้ ยังไม่อยากกลับเลย ถ้าปีหน้าเราว่างจะต้องกลับมาใหม่” ประมาณห้าทุ่มกว่าพี่แสนก็นำถั่วเขียวมาต้ม พอสุกแล้วก็ปลุกผอมมากินเพราะเป็นคำสั่ง ก่อนเธอจะนอนหลังจากกินของหวานเสร็จ เธอmai -  (15)ก็นอนต่อแต่เรายังไม่ง่วง นึกขึ้นได้ว่ามีหมูยอกับวุ้นเส้นอยู่ก็เลยปรึกษากันกับพี่แสนว่าจะทำดีไหม-สรุปก็ทำ เราก็คิดอยู่ว่าถ้าทำไปจะกินได้ไหมยำหมูยอกับวุ้นเส้น เราทำเสร็จก็นำไปให้อาจารย์นพกับพี่นิมชิม หลังจากชิมก็มีผลตอบรับ จากอาจารย์นพ อืมม์.. รสชาติวัยรุ่นดี ๕๕๕ ขำตัวเองเพราะมันเปรี้ยวเกินไป พี่นิมก็เลยบอกให้เอาน้ำอุ่นผสมน้ำตาลกับน้ำปลาเพื่อตัดรสเปรี้ยว และเราก็ทำตามคำแนะนำ จากนั้นรสชาติก็ดีขึ้น พอกินได้ เราก็นำไปแจกจายกลุ่มที่อยู่ข้างกองไฟ บอกด้วยว่าต้องกินให้หมด๕๕๕ ออกแนวบังคับนิดๆ ผลสุดท้ายก็หมด โดยเราตักไว้ให้พี่หวานนิดนึงเพราะเห็นบ่นอยากกิน แต่แกนอนไปแล้วไม่กล้าปลุกหลังจากกินเสร็จเราก็ไปนั่งฟังลุงแขกร้องเพลงไม่กี่เพลงเราก็ง่วงแล้วจึงไปนอนmai -  (9)เช้าวันสุดท้าย เราตื่นมาเกือบ ๖ โมง เห็นพี่แผนไทยฯ ทำกับข้าวจะเสร็จแล้วเราก็เลยลุกมา แล้วก็ไปทำภารกิจส่วนตัวแบบเนียนๆ เพราะไม่ได้ลุกมาเข้าเวรตอนตี ๔ ถึง ๖ โมง ไม่มีคนปลุกเราเลย หลังจากนั้นทุกคนก็กินข้าวและเก็บสัมภาระ เพื่อเตรียมตัวกลับ ทุกคนช่วยกันเก็บของและดูแลความสะอาดบริเวณรอบๆ เสร็จแล้ว พี่อ๋อ ก็เรียกรวมเพื่อพูดคุยและอาจารย์นพก็มาพูดคุยด้วยนิดหน่อย mai -  (16)แล้วก็ทำการดับกองไฟ จากนั้นทุกคนก็ทยอยกันเดินไปเรื่อยๆ เราก็เดินมาได้ไม่ไกกลนัก มัวแต่มองหนามที่มือ ไม่มองทางจึงเดินตกหลุมทรุดลงไปอีกรอบก่อนกลับ เราไปพักที่แรกตรงลานหอยทากไปดูวิวทิวเขาเรามองไปเห็นต้นไม้มากมายเขียวขจีเต็มไปหมด จากนั้นเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงทางก่อนจะลงเขา เราก็นั่งพักกันอีกรอบ หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อ เรามองเห็นทางลงแล้วขาอ่อนเลย ยังคิดอยู่ว่าเดินขึ้นมาได้ไง แค่มองทางลงก็หวาดเสียวแล้วคิดว่าถ้าตกลงไปคงไม่รอดแน่ เราจึงต้องรวบรวมความกล้า สมาธิและสติก่อนที่จะเริ่มก้าวเท้าลงมา ในขณะที่เราเดินเราก็ต้องมองไปข้างหน้าเพื่อหาทางที่คิดว่าไปต่อได้พร้อมกับมองข้างหลังและคอยบอกว่าต้องลงมายังไง ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา กลุ่มย่อยที่เราเดินมาก็มีmai -  (18)ประมาณ ๘ คน ซึ่งมี พี่บิว ที่นำเราอยู่ พี่นัน พี่แตและพี่แผนไทยฯ อีก ๔ คน ตามเราอยู่ เราเดินกันเรื่อยๆ ไม่รีบเหนื่อยก็พัก มาถึงอีกหนึ่งจุดที่หาทางลงไม่ได้ เพราะมีสองทางไม่รู้จะไปทางไหน เราจึงนั่งพักและสายตาที่สอดส่อง พี่นัน ก็มองไปเห็นลูกศรบนไม้ที่เจ้าหน้าที่ทำไว้ เราจึงลุกและเดินต่อ และทางที่เราเดินไปนั้น คือทางน้ำตกเราลงไปบนก้อนหินเรียงเป็นชั้น บางก้อนก็ลื่นจึงต้องระวัง ลงไปจนเกือบสุดปลายน้ำตก ก็เห็นพี่หวานยืนคอยอยู่พร้อมเชือกที่คอยเราอยู่ ในขณะเดียวกันเราก็ได้ยินเสียงของคนอีกสามสี่คนที่มาคนละทางกับเราและเสียงนั่นก็ไม่ใช่ใคร นอกจาก ผอม พี่เดียร์ พี่ฝ้าย ที่เจ้าหน้าที่พาลงมาทางชัน ไม่รู้ว่าลงมาได้ยังไง แต่เสียงนำมาก่อนแต่ไกล จากที่เราลงมาจากน้ำตกเราก็เดินกันต่อไปจนอีกไม่นาน เราก็ถึงคลองmai -  (20)ต้มกาแฟโดยที่พี่คิงกำลังก่อไฟต้มน้ำอยู่ เราก็นั่งพักและรอคนข้างหลัง ทุกคนเริ่มทยอยเดินมาจนถึงคลองต้มกาแฟเรื่อยๆ จนครบและเรา ก็นำอาหารที่เหลือออกมากินกัน เช่น มาม่า ปลากระป๋อง ผัก
กาดกระป๋อง เรานั่งกินข้าวกับสามอย่างนี้โดยมีพี่ต่าย พี่นัน พี่แต พี่แสน คิง ผอม ใหม่ และพี่โต๋ก็มาร่วมแจมกับเราตอนหลัง เรากินกันอย่างอร่อยหรือหิวก็ไม่รู้ แต่ปลากระป๋องหมดไปถึง ๔ กระป๋อง ผักกาดอีก ๑ กระป๋อง มาม่าอีก ๒-๓ ห่อ หลังจากที่เรากินเสร็จไม่นานเราก็ต้องเดินต่อโดยต้องแยกกันตรงนี้ระหว่างคนที่ขึ้นทางปากช่องกับทางปราจีนฯ โดยทางปราจีนฯต้องเดินออกมาก่อนเพราะนัดรถไว้ตอน ๔ โมงเย็นเราก็ลากันและเริ่มเดินออกมาแต่ก่อนจะออกมาดีใจมากที่อาจารย์นพเรียกและเราเดินเข้าไปอาจารย์เอามือลูบหัวเรา มีกำลังใจขึ้นมามากในการทำอะไรหลายอย่างในชีวิต เพราะรู้ว่ามีคนรักมากมายที่คอยมองและคอยเป็นห่วงอยู่ห่างๆ ขอบคุณนะคะสำหรับ ทริปนี้ ทำให้หนูได้รู้อะไรมากมาย ทำให้มีความสุข ความสงบในจิตใจ ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทริปนี้ทุกคนที่ช่วยเหลือและให้คำแนะนำ หวังว่าทริปหน้าเราคงได้พบกันใหม่นะคะmai -  (21)

เดินมาจนถึงทางออกและได้กินน้ำเย็นๆ ชื่นใจจากนั้นก็ เดินทางกลับบ้านพร้อมกับความทรงจำดีๆ ที่จะไม่มีวันลืมเลือน สิ้นสุดแล้วกับการเดินป่าสมอปูน ๑๙-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖

โดย : ศศิวิมล (ใหม่)

 

ปิดการแสดงความเห็น