สมอปูน ป่าชั้นฟ้าท้าความตาย ตอนที่ ๑

อย่าเพิ่งตกใจกับชื่อหัวข้อ เรื่องราวต่อไปนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิดหลังจากที่ได้อ่านชื่อเรื่อง ตั้งชื่อไปอย่างนั้นเอง เอาฮา(ฮ่าๆ ฮาคนเดียว) และทางพี่ๆ เขาก็ทวงบทความนี้หลายรอบแล้วแต่ไม่มีอารมณ์แต่งสักที วันนี้นั่งอยู่เปลี่ยวๆ คนเดียวก็เลยขอสักหน่อย 

Pano1

IMG_8595หลายสัปดาห์ก่อนโน้นเป็นสัปดาห์ที่ฝึกงานเสร็จพอดี อ้อ! ลืมแนะนำตัวเอง  ผู้แต่งเป็นนิสิตปีสี่ของคณะ  คณะหนึ่งที่เกี่ยวกับสมุนไพร  ในมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางแสน(มีอยู่ที่เดียวแหละ)  หลังจากฝึกงานเสร็จก็ได้มีโอกาสไปผจญภัยในโลกกว้าง กว้างมากๆ ได้ไปแบบกะทันหันมากๆ ด้วย คือฝึกงานเสร็จวันนี้ พรุ่งนี้ไปแล้ว แต่ได้ข่าวจากการชักชวนของพี่ๆ กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ที่เคยมีโอกาสได้เข้าค่ายที่พี่ๆ เขาจัดกันหลายครั้งทางโซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดัง(ทุกคนคงเคยเข้าไปเล่น) และจากเพื่อนๆ ก่อนจะไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ครั้งแรกที่ได้รับข่าวนี้ มีความรู้สึกว่ายังไงตัวเราเองก็ต้องไปอยู่แล้ว แต่ติดอยู่ที่ว่าคนทางบ้านคงเป็นห่วง ไม่เป็นห่วงได้ไงละคะ เพราะที่ๆ จะไปนั้นมันคือป่า ป่าจริงจังมากๆ ซะด้วย ป่านั้นคือเขาสมอปูน ที่เป็นหนึ่งในเทือกเขาใหญ่แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่เคยรู้เลยค่ะว่าป่านี้เป็นลักษณะอย่างไร และมันมีอะไร ทำไมใจเราถึงอยากไปนัก เหตุผลหนึ่งที่อยากไป โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบความลำบากเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว ประมาณว่าถ้าให้เที่ยวเดินตามห้างสรรพสินค้า กับให้เข้าป่า จะเลือกเข้าป่า(ฮ่าๆ) และส่วนหนึ่งคือมีIMG_8600ความมั่นใจมากว่าตัวเองสามารถเดินได้อย่างสบายเพราะจบนักศึกษาวิชาทหารปีห้ามาแล้ว แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง(เศร้า) พอได้ความคิดเช่นนั้นก็ทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้ไป นั่นคือไม่บอกที่บ้านว่าจะไปเดินป่า บอกแค่ว่าจะกลับบ้านวันไหนเมื่อฝึกงานเสร็จ(ชั่วร้ายไหม ฮ่าๆ) แต่ความจริงแล้วก็จะบอกแหละค่ะ แต่จะบอกตอนที่อยู่ในป่าแล้ว(ภาคบังคับซะเลย) เอาเข้าจริงๆ ก็โทรบอกที่บ้านก่อนไปหนึ่งวัน เกินความคาดหมายมากเพราะที่บ้านไม่ห่วงอะไรเลยค่ะ(เสียใจ)

 

 

dusita

IMG_8569ก่อนไปตื่นเต้นมาก เตรียมตัววิ่งทุกเย็น นับแล้ววิ่งได้ห้า-หกวัน  พอถึงคืนที่เราจะต้องไปแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ทำการจัดกระเป๋า เอาอะไรไปเท่าที่จำเป็น เพราะรู้ว่าต้องเดินไกลแน่   ดูจากการเดินป่าสมัยรับน้องปีสามที่ พี่ๆ รักษ์เขาใหญ่เขาจัดให้แล้ว น่ากลัวจริงๆ เห็นว่ามีเพื่อนๆ เตรียมจัดกระเป๋าไว้แล้วก่อนหน้าเราสองวัน(จะพร้อมไปไหม? คิดในใจ) อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คิดขึ้นได้ว่า วันพรุ่งนี้จะเจอใครบ้าง ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวเฉลยตอนท้ายแล้วกัน(แอบเขิน ฮ่าๆ) IMG_8578

_MG_8424มาเข้าเรื่องกันดีกว่า… กว่าจะเข้าเรื่องได้นี่ปาเข้าไปหน้าหนึ่งแล้ว เพราะตอนแรกกะจะเขียนแค่หน้าเดียวทั้งๆ ที่พี่เขาให้เขียนสี่หน้าค่ะ(ฮ่าๆ) เช้าวันเดินทางเป็นวันที่ตื่นมาแบบเพลียๆ เพราะเนื่องด้วยเมื่อคืนต้องจัดการกับงานที่ค้างไว้ให้เรียบร้อยก่อนจะไป เมื่อพร้อมที่จะเดินทางแล้วรถของโรงพยาบาลยังไม่มารับ เพื่อนๆ จึงจัดการต้มมาม่ากินกันก่อน โดยให้เหตุผลว่าเดี๋ยวจะเดินไม่ไหว พอต้มสุกพอดิบพอดี จัดการกินกันได้สองคำ รถก็มา ปัญหาเกิดล่ะ จะทำอย่างไรทิ้งไว้ที่ห้องก็ใช่ที่ เอาไปด้วยก็จะหกเลอะเทอะ เลยจัดการกินกันอย่างเร่งด่วน(ยัดค่ะ) แล้วรีบลงไปขึ้นรถ นึกขึ้นได้มีเพื่อนผู้ชายอีกสองคน เพื่อนโทรตามปรากฏว่าเพิ่งตื่น(งานเข้าแล้วสิ) จึงไปยืนกดดันหน้าห้อง ลากตัวมาขึ้นรถจนได้(ลากด้วยวาจานะ) พอไปถึงวิทยาลัยฯ ก็จัดการแบ่งของส่วนกลางมากันคนละสิบโล – ยี่สิบโล(ล้อเล่นนะคะ ฮ่าๆ) จากนั้นจึงเดินทางไปทางเข้าสู่การเดินป่าสมอปูน ก่อนจะเดินขึ้นเขามีการวัดความดันโลหิตเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทางทุกๆ คน ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ทำไมไม่รู้นะ(อิอิ ความลับ) ค่ามันจะขึ้นที่เครื่องให้เห็นเสียด้วยสิ

IMG_2371เมื่อทุกคนทำการวัดความดันเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินเท้าขึ้นเขา ครั้งแรกที่เห็นทาง มองเข้าไป ยอมรับเลยว่ากลัว ข้างในไม่รู้จะมีอะไรบ้าง แต่ก็อุ่นใจ เพราะเรามีผู้มากประสบการณ์ตั้งหลายคน ที่แสดงออกมาทางใบหน้า(แม้อายุจะน้อยกว่าเรา ฮ่าๆ) อีกอย่างหนึ่งคือ เราจะไหวไหมหนอ เมื่อคืนก็นอนดึกด้วย กลัวไปเป็นภาระของเพื่อนร่วมทางมากๆ ถึงเวลาเริ่มออกเดินทางด้วยเท้า ป่าสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ทั้งที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง IMG_2373เช่น สาบเสือ(เป็นต้นที่ไม่มีใครรู้จักเลย ฮ่าๆ) กำลังเสือโคร่ง พนมสวรรค์ ปลาไหลเผือก ยางป่า และต้นอะไรที่เคยเห็นแต่จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน  จะจดก็เหนื่อยเหลือเกินแค่เดินก็จะเป็นลมแล้ว(ขออภัยนะคะ ฮ่าๆ) บางต้นได้รับความอนุเคราะห์จาก พี่หวานที่เคยสอนตอนช่วงฝึกงานเกี่ยวกับสมุนไพรบางต้นที่เราไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่จำไม่ได้ และที่ไม่รู้จักรวมถึงประโยชน์ในการนำไปใช้ เช่น …….??? เอ่อ จำไม่ได้ (ขออภัยอีกที) เอาเป็นว่าถ้าให้เจออีกตอบได้แน่นอน (ไม่แน่ใจค่ะ ฮ่าๆ)view sunsetIMG_2472เดินไปเรื่อยๆ เริ่มกังวลว่าจะมี“ทาก”ไหมหนอ “เห็บ”จะเกาะไหมหนอ มองขากางเกงตลอดเลย กังวลมากๆ แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ มองดูบ่อยๆ ว่าไม่มีอะไรมาเกาะอย่างแน่นอน ก็ทำให้ร่างกายและจิตใจสัมผัสได้ถึง เสียงของป่าที่กล่าวยินดีต้อนรับเรา(อันนี้ถ้าใช้แต่หูฟังจะไม่ได้ยินหรอก ต้องใช้ใจของเรานี่แหละ ตั้งใจฟังดีๆ จะได้ยินดังมากๆ เลย) มีความรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ยังเครียดกับงานอยู่เลย รู้สึกขึ้นมาอย่างนี้ขนลุกขึ้นมาทันที(ไม่ได้ปวดอึ แน่! รู้นะคะ) มีความสุขทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้รับของขวัญจากใครๆ แต่เราจะได้รับของขวัญจากป่าโดยที่เราไม่รู้ตัว(อมยิ้มเบาๆ)

IMG_2371พอเดินเข้าไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปๆ ทางยิ่งชัน ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกจะยกตัวเองขึ้นไปทางข้างบนมันลำบากมาก นี่ขนาดตัวเราเองยังน้ำหนักไม่มากเท่าคนอื่น พอนึกถึงคนอื่นๆ นับถือเลย อย่างเพื่อนร่วมทางและร่วมคณะของเราคนหนึ่งชื่อเดียร์ เธอสู้มากๆ ยอมรับในหัวใจอันกล้าหาญของเธอที่กล้ามาเดินป่าในครั้งนี้ พอได้เวลาดวงอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ เราได้พักกันอยู่ ณ บริเวณที่เป็นลำธารสายเล็กๆ ที่พี่ๆ ที่เคยเดินป่าแห่งอยู่เป็นประจำ เรียกว่า“คลองต้มกาแฟ”  เพราะเหตุอันใดก็ไม่ได้สอบถามพี่ๆ เขา แต่คิดว่าคงเป็นที่พักระหว่างเดินทาง เพื่อเติมพลังกินข้าว ก่อกองไฟต้มน้ำ ดื่มกาแฟ สัมผัสบรรยากาศในป่าเขาลำเนาไพร พวกเราพักกินข้าวกันบริเวณคลองต้มกาแฟแห่งนี้ จะเป็นเพราะด้วยความเหนื่อยหรือความหิวจากมาม่าเมื่อเช้าที่กินมาอย่างรีบๆ หรืออะไรก็ตาม กับข้าวที่แบกขึ้นมาอร่อยมากๆ (อันนี้ต้องขอขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุนมากๆ ค่ะ)

DSC03114เมื่อเรากินข้าวกันอิ่ม ได้ยินเสียงพี่ๆ บอกว่า“เติมน้ำด้วยนะ อีกไกลกว่าจะไปถึงจุดหมาย” ซึ่งจะมีน้ำอยู่ด้านบน ตัวเราเองก็มองไปรอบๆ นะคะ ไหนล่ะที่เติมน้ำ แท้งค์น้ำสักแท่งค์ก็ไม่มี มีแต่ลำธารเล็กนั่น ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตว่าพี่ๆ เขาเติมน้ำใส่ขวดของตัวเองจากลำธารเล็กๆ นั่นแล้ว ในใจคิด “จะกินได้เหรอเพราะน้ำนั้นก็อยู่กับดินนะ มันจะสะอาดไหมนั่น ท้องไส้เรายิ่งไวต่อสิ่งกระตุ้นอยู่ด้วย” แต่จะทำอย่างไรได้ลองซักหน่อยก็แล้วกัน ไม่ลองก็ไม่รู้นะว่ามันเป็นอย่างไร “อึกแรกที่น้ำในลำธารได้เข้าไปในปากลงสู้ลำคอ มันหวานๆ หอมๆ อะไรสักอย่างรู้สึกสดชื่นมากๆ” หากเป็นน้ำที่เราซื้อมามันจะออกกร่อยๆ (อาจเป็นความรู้สึกส่วนตัวก็ได้) ทีนี้มารอดูกันว่าจะถ่ายท้องหรือไม่(กังวลมากๆ )
_MG_8409จากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางต่อ ทีนี้ทางที่เห็นข้างหน้ามันคือหน้าผาชัดๆ  นึกในใจว่าเราจะเอาตัวเราขึ้นไปได้อย่างไร  แล้วเราจะขึ้นไปดูอะไร ข้างบนมันมีอะไร ถึงต้องลำบากขนาดนี้ ทุกความคิดระดมเข้ามาไม่ยั้งเลย แต่ไม่รู้สึกท้อ ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่าสนุกอยากขึ้นไปให้ถึงเร็วๆ  “ข้างบนมันจะมีอะไรกันนะ”  ในขณะที่คิดถึงข้างบนจะมีอะไร ระหว่างทางที่กำลังพยายามนำตัวเองขึ้นไปนั้น มองเห็นอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างแรกมองเห็นต้นไผ่ ที่เป็นราวจับอย่างดี ที่ทำให้เราสามารถดึงตัวเราขึ้นไปได้แม้บางครั้งจะมีขนที่ตำแล้วเจ็บแปลบๆ เลยทีเดียว อีกอย่างที่เห็นคือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา คือเพื่อนร่วมเดินทาง เราเป็นคนที่ยอมรับนะว่า มีทิ้งเพื่อนนำหน้าไปก่อนตลอด (อันนี้ยอมรับจริงๆ ว่าตัวเอง ไม่ค่อยช่วยเหลือใครหรือเราคิดไปเองหรือเปล่า ก็ไม่รู้สิคะ) ถ้ามันออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ ต้องขอโทษเพื่อนๆ อย่างมากที่ช่วยเหลือน้อย ประมาณว่า ไม่ค่อยช่วยดึงแขนเพื่อนหรืออะไรแบบนี้ไหม(อาจจะคิดไปเอง เพราะเราเองก็จะไม่ไหวเหมือนกัน) แต่เราเองก็ช่วยแบกของบางอย่างที่เพื่อนไม่ไหวอยู่นะ(เริ่มสับสนวุ่นวายกับตัวเอง)

IMG_8952ช่างเถอะค่ะ เอาเป็นว่า ก็ช่วยเหลือที่พอจะช่วยกันไป เห็นน้ำใจของเพื่อนร่วมทางหลายๆ คน บางคนที่เราเห็นว่าใบหน้ากับจิตใจไปคนละทาง อย่างเพื่อนร่วมทางที่ชื่อ คิงส์ (ฮ่าๆ) ใจเขาหล่อมากๆ ส่วนรายละเอียดให้เล่าทั้งวันมันจะยาวไป ระหว่างทางเราล้วนแต่เจออุปสรรคมากมายให้เราได้ฝ่าฟันไปข้างหน้า ชีวิตคนเรานี่เหมือนการเดินป่าจริงๆ ในบางช่วงที่ทางชันมากและไม่มีที่เกาะเลย จะต้องใช้ความสามารถเป็นอย่างสูง เห็นความพยายามของเพื่อนอีกคนนั้นคือจูน เพื่อนคนนี้มีประวัติเคยเป็นตะคริวที่น่องตอนอยู่ปีหนึ่ง จูนไม่เคยกินผักค่ะเพราะเธอไม่ชอบ ไม่รู้จะเกี่ยวหรือเปล่านะ ที่เดินขึ้นได้ลำบากมาก เธอเองแทบจะใช้คำว่า เลื้อยขึ้นกันเลยทีเดียว ยอมรับในความพยายามของเพื่อนคนนี้มากๆ แต่ยังดีที่มี เพื่อนอีกคนหนึ่งที่คอยดึงมือ นั่นคือเซิร์ฟ ผู้กล้ามโต (ฮ่าๆ) และอีกคนคือเบส เห็นอยู่ห่างๆ คอยช่วยเหลือเดียร์ น่ารักไปอีกมุมหนึ่ง เพื่อนที่ปกติIMG_8597แล้วไม่ค่อยจะช่วยอะไร แต่วันนี้ช่วยกันไม่เกี่ยงเลย(ฮ่าๆ) อีกคู่ที่ตลกมากๆ คือนิ้งและพี่จุ๊ สองคนนี้เป็นคู่รักที่พลัดพรากกันอยู่บ่อยครั้งค่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งเห็นเดียร์เล่าว่า นิ้งหันไปเรียกพี่จุ๊ พอไม่เห็นก็เดินหน้าต่อไปเลย(น่ารักอ่ะ ฮ่าๆ) แหม! ก็อย่าว่าไปนะคะ คู่นี้เนี้ยเขาน่ารักมากๆ คอยพยุงกันตลอด (นิ๊งพยุงพี่จุ๊นะคะ ฮ่าๆ) คนสุดท้ายของเพื่อนที่มาจากคณะเดียวกัน คือป้าฝ้าย คนนี้เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ ซึ่งทำให้เราชอบเธอคนนี้ในส่วนนี้มากๆ เพราะบางมุมที่เราไม่คิด แต่ป้าฝ้ายคิด แล้วทำให้ตัวเราเองคิดตามได้เลย ป้าฝ้ายเป็นคนที่เข้าใจคนมากๆ (คนดีนะ เนี่ย คนนี้) ถ้าในความคิดตัวเราเอง ป้าฝ้าย คือคนที่คอยจูงเราให้คิดในสิ่งดีๆ เสมอ แม้บางครั้งอาจจะเหวี่ยงป้าฝ้ายไปบ้าง(ขอโทษจากใจจริง) ส่วนคนอื่นๆ ตอนนั้น ยังไม่ทันได้สังเกต รู้นะคะ“ว่าไม่ดีเลย ที่อยู่แต่ในกลุ่มของตัวเอง”  แต่การปรับตัวก็เริ่มเกิดขึ้นที่ละน้อย

_MG_6034ในเวลาใกล้มืด พวกเรามาถึงสันเขากันแล้ว  (พี่ๆ ที่นำทางบอกว่า น่าจะถึงตั้งแต่สามชั่วโมงที่แล้ว) รู้ไหมคะว่าเราพบกับอะไร วิวสวยมากๆ ทะเลหมอกยามดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน เคยแต่เห็นในรูปตามทีวี ตามหนังสือ วันนี้ได้มาเห็นจริงๆ ประทับใจและคุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ นี่คงเป็นสิ่งล้ำค่าที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้  ซึ่งปัจจุบันก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว อีกหน่อยคงเห็นแต่ตึกสูงๆ เต็มไปหมด (จะไม่ยอมให้เกิดอะไรแบบนั้นขึ้นแน่ๆ หดหู่จังเลย) เมื่อชมวิวเสร็จก็มืดพอดี ทีนี้เดินไปเองตามกลุ่มที่เป็นเพื่อนที่มาจากคณะเดียวกันทั้งหมด ไม่มีใครนำทางตอนนั้นมืดมากแต่ยังดีที่เป็นทางราบแล้ว ไฟฉายที่ซื้อมาก็ไร้ซึ่งประสิทธิภาพ มีเบสคอยเดินนำหน้า เดินไปตอนแรกมันมีทางให้เดิน ไม่น่ากลัว แต่พอเดินลึกเข้าไปยิ่งมืดลงเรื่อยๆ ทางก็มีทางแยกหลายทาง แย่ละสิ ทีนี้ ไม่มีพี่ๆ หรือเพื่อนคนอื่นนอกจากกลุ่มเราเลย ตอนนั้นยอมรับค่ะว่ากลัวมาก_MG_9338เพราะยามค่ำคืนมีเสียงอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ลองตั้งสติกันดีๆ ก็ช่วยกันมองหาที่เขาทำสัญลักษณ์ไว้ที่ต้นไม้ว่าให้ไปทางใด พอเจอจุดหนึ่งก็เดินไปตามทางนั้น ใจชื้นขึ้นมาทุกทีที่เจอสัญลักษณ์ เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกับลานโล่งๆ เย้! เจอคนอื่นๆ แล้ว ทีนี้ได้บทเรียนกันเลยว่า หากอยู่แต่ในกลุ่มของตัวเอง ไม่สุงสิงกับใครๆ ผลที่ได้ก็จะออกมาเป็นแบบนี้ นี่ดีนะที่พี่ๆ เขาทำสัญลักษณ์ไว้ให้
DSC03145จากนั้นเราก็ชื่นชมวิวที่ลานโล่งนั้น วิวสวยมาก แต่สวยแบบแสงสี มองลงไปเห็นตัวเมืองมีถนนอาคารบ้านเรือน ซึ่งเป็นความสวยงามที่มนุษย์เราสร้างขึ้น ประทับใจเหมือนกัน แต่ความรู้สึกเทียบไม่ได้กับวิวแรกที่มีทะเลหมอกเลย  (ไม่รู้ทำไม คงเป็นเพราะมันไม่ได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเองมั้งคะ) จากนั้นจึงเดินกันต่อไป ทีนี้รู้แล้วว่า  หากไม่ทำตัวให้กลมกลืนไม่เข้าหาใครจะเป็นอย่างไร ทีนี้เดินตามเพื่อนๆ คนอื่นๆ ทางเดินง่าย เป็นทุ่งโล่ง แต่จะมีที่ต้องระวังคือหนามหวาย เยอะมากๆ จะเกี่ยวหนังเราหลุดไปเลย(ฮ่าๆ เว่อร์ไหม) เดินซักพักก็ถึงที่พักกินข้าวเย็นกัน  เมนูประจำ ผู้ร่วมเดินทางวันนี้คือมาม่า ราเอามาม่าและปลากระป๋องออกมาไว้ที่กองกลางกันเพื่อเป็นการแบ่งปันพี่ๆ และเพื่อนๆ ด้วย เป็นเมนูที่กินกันอย่างมีความสุขมากๆ ไม่รู้จากอะไร หรืออาจเป็นเพราะได้นั่งกินกับเพื่อนๆ ที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับเรา(ฮ่าๆ)

DSC03163จากนั้นก็เริ่มมีปัญหา เกิดปวดฉี่ขึ้นมาซะนี่  จึงชวนกันไปฉี่ในพุ่มไม้ เป็นการฉี่ในป่าครั้งแรกเลย  ตื่นเต้นมากๆ กลัวก็กลัวนะ แหมะ เสร็จแล้วก็มานอนพัก สักพักก็เดินต่อ คราวนี้เป็นการเดินที่ระยะไกลมากๆ ในความรู้สึก  เนื่องด้วยกระเป๋าหนักหรืออะไรไม่ทราบ ทางเดินเป็นทุ่งโล่งมีหญ้าขึ้นสูงระดับเข่า สลับกับต้นไม้สูงๆ ทั้งๆ ที่เป็นการเดินทางราบ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนใจจะขาดอย่างไรไม่รู้ มีคนไม่ไหวด้วย เจ้าคิงส์ ของเราก็มาช่วยแบกกระเป๋าให้ ใจหล่ออีกแล้วค่ะ (ฮ่าๆ)  สักพักก็เปลี่ยนผลัดเป็นเพื่อน ที่ถ้านับการศึกษาก็รุ่นน้อง แต่มาครั้งนี้เราเป็นเพื่อนกัน นั่นคือ โต๋(ยิ้มเบาๆ) โต๋ ตัวเล็กด้วย ยิ่งแบกกระเป๋าที่ผลัดจากคิงส์หรือเปล่าไม่แน่ใจ(ถ้าผิดขออภัยด้วย) สงสารมากๆ  คิดในใจทำไมคนใน กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ใจหล่อแบบนี้ เจ้าตัวอย่าลอยนะ ถ้าได้อ่าน (ฮ่าๆ)
_MG_9042ระหว่างทางเราเหยียบต้นไม้อะไรบ้างไม่รู้ พอฉายไฟไปดอก มันสวยมากๆ มีคนพูดว่า “ดอกดุสิตา” แหม! ชื่อก็เพราะนะคะ แต่ล้มระนาวเลย (สงสารต้นไม้) เดินไปสักพักความหวังเริ่มปรากฏ ถึงที่พักโดยไม่ทันตั้งตัว  บอกได้คำเดียวว่า เหนื่อยมากๆ ที่ตรงนั้นเป็นต้นไม้ไม่สูงมากขึ้นเต็มบริเวณ ส่วนพื้นก็ปกคลุมไปด้วย พรมฤาษี เหยียบแล้วรู้สึกได้ถึงความนุ่มเหมือนพรมในโรงหนังเลย มนุษย์นี่ช่างเลียนแบบจริงๆ (เพิ่งรู้วันนี้เลย) จากนั้นก็ทำการ กางเต็นท์ กางผ้าใบ ก่อไฟ บ้างก็ผูกเปลนอน ได้บรรยากาศมากๆ
จากนั้นก็ไป อาบน้ำ ที่ลำธาร น้ำเย็นมากๆ รู้สึกดีแบบบอกไม่ถูกเลย เคยเห็นแต่ในหนังว่าอาบน้ำลำธาร มาวันนี้ถึงรู้ว่ามันสุดยอดจริงๆ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรให้คนอ่านรู้สึกไปด้วย เอาเป็นว่า สดชื่นที่สุดในชีวิต(มันหนาว ฮ่าๆ) จากนั้นก็เป็นเวลานอนของทุกคน แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ กองไฟและคนเฝ้ายาม ที่คอยผลัดกันทุกๆ สองชั่วโมง การได้นอนในป่า ใช้ป่าเป็นที่นอนของเรารู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าในป่าจะมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่คืนนี้นอนหลับสบายและหลับสนิทมากๆ

ติดตามต่อตอนต่อไป ……
จ๊ะจ๋า  นิสิต แผนไทย ปี ๔ 

One thought on “สมอปูน ป่าชั้นฟ้าท้าความตาย ตอนที่ ๑

  1. ดวงใจอ่อนโยนที่เปิดแล้ว…ย่อมได้ยินเสียงธรรมชาติพูดคุยกับเรา