“I went to the woods because I wished to live deliberately,
To front only the essential facts of life,
And see if I could not learn what it had to teach, and not,
When I came to die, discover that I had not lived.”
การเดินป่าถือเป็นสิ่งที่ฉันหลงใหลอย่างหนึ่งในชีวิต ต้องบอกไว้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นการเดินป่าที่ ทีลอซู โมโกจู-แม่วงก์ หรือที่ไหนๆ ที่เคยเดินมา เทียบไม่ได้เลยเมื่อได้มาเดินป่าที่สมอปูน อาจจะเนื่องด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างชัน และน้ำหนักจากเป้บนบ่าที่เราต้องสะพาย หรือจากอะไรก็แล้วแต่ “ถ้าคุณเป็นคนที่หลงใหลการเดินป่า ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจมากทีเดียว”
การเดินทางวันแรก เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยก่อนหน้านั้น ประมาณ ๒ สัปดาห์ ฉันและเพื่อนๆ ตัดสินใจลงชื่อเป็นผู้ร่วมทางในทริปนี้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พวกเรากำลังฝึกงานอยู่ ในทุกๆ เย็นเราก็จะมาเดินและวิ่งออกกำลังกายกันวันละ ๓๐ นาที ถึง ๑ ชั่วโมง (เป็นสิ่งที่ขี้เกียจทำที่สุดในชีวิต) เพราะรุ่นพี่คนหนึ่ง(พี่นิมเลย) บอกเราอยู่เสมอว่าให้เราออกกำลังกายกันด้วยนะ เพราะว่ามันหนัก(ก็แอบคิดค้านในใจว่า อะไรมันจะขนาดนั้น จนได้มาเดินจริงนี่แหละ ซึ้งเลย) ขณะที่ใกล้เวลาเดินทางเข้ามาเรื่อยๆ ก็มีเพื่อนบางคนถอนตัวออกไป เพราะการฝึกงานที่หนัก และพอฝึกงานเสร็จวันที่ ๑๘ ก็ต้องเดินทางเลย มันก็เป็นอะไรที่เหนื่อยเบาๆ ในใจก็แอบลังเลเล็กๆ แต่ก็อุตส่าห์วิ่ง
มาหลายวันแล้ว ก็เลยตามเลยละกัน และเพราะไม่ได้กลับบ้าน ของที่ใช้เดินป่าในครั้งนี้ก็เลยเป็นของที่ซื้อใหม่ทั้งหมด แถมไม่ใช่คนปราจีน ก็หาแหล่งซื้อของที่ต้องการไม่ได้ อย่างเป้ก็ไปซื้อเอาที่โลตัส เลือกที่มันน่าจะรอด(แต่ก็ไม่รอด = =’) ทุกอย่างใหม่หมดจริงๆ หาซื้อภายในเย็นวันที่ฝึกงานจบอย่างเร่งด่วน จัดของคืนนั้น และเช้ามาก็เดินทางไปรวมตัวกันที่วิทยาลัยแพทย์แผนไทยฯ สิ่งที่คิดในใจเป็นอย่างแรกคือ “โหย-ย-ย ทุกคนเขาจัดกันมาเต็มมาก นี่มันเดินป่าโปรเลยป่ะเนี่ย รองเท้า เป้ อุปกรณ์ต่างๆ นี่ พร้อมกันเกิ๊น” แล้วจึงย้อนกลับมาดูตัวเอง “ฮ่าๆ ท่าจะไม่รอด” แต่ก็เนียนๆไป ในกระเป๋าเป้ของฉันบรรจุไปด้วยเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัว แถมด้วยข้าวโลครึ่ง หมูยอ ม่าม่า ปลากระป๋อง ช็อกโกแล็ต และขนมกรุบกริบอีกมากมาย พอผูกๆ
มัดๆ เสร็จ ก็ลองแบกดู บ่าแทบทรุด เพราะปกติไปเดินก็จะจ้างลูกหาบหิ้วของให้ตลอด นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้แบกเป้ที่โคตรหนัก(แต่ก็ไม่หนักเท่าพี่ๆ เพื่อนๆ บางคน ที่เป้ใหญ่กว่าตัวเสียอีก นับถือเลย) เรามาถึงที่อุทยานฯ ประมาณ ๙.๓๐ น. เป็นกลุ่มแรกที่มาถึง ไม่มีอะไรทำเลยนั่งเย็บสายเป้กัน กันขาดเวลาเดิน แล้วก็ถ่ายรูปเล่นกันเรื่อยเปื่อย สักพักจึงมีคุณเจ้าหน้าที่มานั่งคุยด้วย และให้พวกเราเซ็นชื่อ พร้อมตรวจวัดความดันโลหิตกันทุกคน(ก็ทำหน้าที่วัดให้ทุกคนไปเรื่อย ก็มีบางคนนะที่แข่งกันว่าใครความดันสูงกว่ากัน ฮ่าๆ เพลียจริง) จนมากันครบทุกคนแล้ว เราก็นั่งรถตู้ต่อเข้าไปอีกนิด ก็ไม่รู้ว่าเขาเอาเรามาทิ้งไว้ที่ส่วนไหนของเขาใหญ่ แต่ก็ยังชิวๆ อยู่ จนเริ่มเดินนี่แหละ เดินไปได้สักครึ่งชั่วโมง ก็โอเคนะ แค่เจ็บบ่า ต่อสักชั่วโมง สองชั่วโมงมันก็เริ่มมาละ(ความเหนื่อย ฮาๆ) ก็ได้หยุดพักกันก่อนทางชันๆ แป๊บนึง ตรงนี้แหล่ะที่เริ่มได้คุยกับคนที่ก็
รู้จักกันมาจากค่ายช้างนะ แต่ไม่เคยได้คุยเล่นกัน แค่เห็นผ่านแว๊บๆ เช่น บิว โต๋ คิง อะไรเทือกๆ นั้น ฮ่าๆ. .. โดยเริ่มจากโดนแกล้งยกกระเป๋าขึ้นสูงๆ แล้วมันก็ปล่อยทิ้งลงมา ให้เราหงายหลังเล่น เราเลยเริ่มด่า และเริ่มใช้ให้มัดรองเท้าแตะให้ซะเลย (หลังจากนั้นมาก็เลยไฟท์กันตลอด ฮ่าๆ) พอพักได้สัก ๑๐ นาทีมั้ง ก็เริ่มเดินต่อ มีปีนขึ้นนิดหน่อย ขาก็เริ่มสั่นเล็กๆ (ผู้หญิงคนนี้กำลังขาไม่ค่อยดี จากการไม่ออกกำลังกายสะสมมานาน ฮ่าๆ)
โดยทุกๆ จุดที่พัก ก่อนถึงคลองต้มกาแฟ คุณเพื่อนบิวก็จะพูดว่า “นั่งพักก่อน ๒ ชั่วโมง” แต่ยังไม่ทันหายใจ ก็ลุกเดินต่อละ “บางทีก็อยากเอาเป้ทุ่มใส่หัวมันเหมือนกัน เอิ๊กๆ” เดินๆไป ไม่รู้นานเท่าไหร่ เกือบๆ เที่ยงได้มั้ง จึงถึงคลองต้มกาแฟ ที่บอกว่า“จะถึงๆ “มาเมื่อ ๑๐ กิโลแม้วสักที เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เหนื่อยโฮก นั่งกินน้ำ กินข้าว(เป็นมื้อที่อร่อยมาก เพราะเหนื่อย และหิวโซ) นั่งไปสักพักพี่ๆ น้องๆ คนอื่นๆ ที่มาจากทางฝั่งอื่น(ปากช่อง) ก็ค่อยๆ เดินมารวมกันที่คลองต้มกาแฟแห่งนี้ มันเป็นภาพที่อบอุ่นเล็กๆ นะ ไม่รู้สิ! เหมือนครอบครัวเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สักประมาณบ่ายโมงสวรรค์ก็จบลงเมื่อเราต้องเริ่มเดินต่อ ก่อนเดินพี่นิม(อีกแล้ว T^T) พูดไซโคขึ้นว่า “อันนี้มันเด็กๆ ถัดไปนี่ชันมาก ป่าไผ่ก็ลื่น” (ตอนนั้นจะร้อง แต่แอ๊บแมนไว้) ก็ทำใจไว้ส่วนหนึ่งแล้วแหละนะ ก็เดินๆ ไปตามกำลัง แต่ดันได้เป็น ๕ คนแรกที่เดินนำ เดินไวเบาๆ แถมเกือบเหยียบเอางูเขียวหางไหม้
เข้าให้ด้วย เดินถึงโซนป่าไผ่ก็สนุกสนานเล็กน้อย เหนื่อยโฮกมหาศาล เวลาเดินต้องรั้งลำไผ่บ้าง เพื่อไม่ให้ลื่นล้ม และบางครั้งก็ไปคว้าเอาลำไผ่ที่มีขนเต็มไปหมด ด้วยความที่มือด้าน เลยไม่คันเท่าไหร่ ฮ่าๆ ทางที่เดินไปนั้นมันชันขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็อบอ้าวเล็กๆ แต่ที่แย่คือ “รู้สึกเจ็บบ่ามากๆ ขนาดที่มันร้าว ลามมาปวดที่ต้นคอเป็นพักๆ” ณ ขณะนั้น ไม่รู้ตัวแล้วว่าเดินมานานแค่ไหน รู้แค่ว่ามันเหนื่อยมาก และแค่อยากจะเดินให้มันถึงที่สักที มีบางช่วงที่ ๕ คนแรกนี่แหละต้องรั้ง ต้องโหนกันขึ้นไป ไม่มีที่เกี่ยวเกาะให้ขึ้นไปจริงๆ ตอนนั้นได้แต่ร้องถามเพื่อนข้างหน้าว่า “แล้วจะไปต่อยังไงเนี่ย เพราะถ้าเกิดพลาด หลุดมือขึ้นมา คิดว่าคงกลิ้งตกเขาไปไกลแน่ๆ” ต้องขอบคุณเบสกับเซิร์ฟมากๆ เลยช่วงนั้น ที่ช่วงกันทั้งดัน ทั้งฉุดพวกเรา(ก็รู้นะว่าตัวหนัก แต่ขอเป็นภาระนิดนึง ฮ่าๆ)
ล้มลุกคลุกคลานกันมากๆ เรียกว่า คลานสี่ขาขึ้นเขาเลยก็ว่าได้(แต่สำหรับเรา ต้องเรียกว่า การว่ายบกขึ้นเขา เพราะนำทฤษฏีการปีนหน้าผาจำลองมาใช้ ซึ่งจะใช้มือจิกดินแล้วเลื้อยขึ้นไป โดยไม่อาศัยที่ยึดเกาะใดๆ นอกจากหน้าดิน ดิฉันต้องขออภัยคนด้านล่างที่ทำให้หินกลิ้งลงไปมากมายจริงๆ เป็นความสามารถเฉพาะตัว ห้ามเลียนแบบค่ะ ฮ่าๆ) จนถึงช่วงที่พ้นป่าไผ่ไปเล็กน้อย กำลังจะปีนขึ้นสันเขา ตอนนั้นแทบจะหายใจไม่ทันแล้ว เป็นจุดที่เมื่อปีก่อนๆ ต้องโรยเชือก แล้วปีนขึ้นไป ทางน้ำตก แต่พี่ที่นำทางพวกเราชุดแรกนี้บอกว่า“มันลื่น”เลยเลื้อยขึ้นทางข้างๆ น้ำตกแทน(ตอนนั้น อยากจะตัดขาตัวเองทิ้ง
แล้วขี่คอเพื่อนมาก เหนื่อยจนไม่รู้จะบรรยายออกมายังไงดี) ก็ไม่รู้อะไร ก็เลื้อยขึ้นตามเขาไปเรื่อยๆ ทางชันมากๆ มากกว่าเดิม ที่ดิ้นรนมาหลายเท่านัก จะถอดใจก็ไม่ได้แล้ว มาไกลถึงขนาดนี้ ก็เลยอดทนปีนขึ้นไปจนได้ไปพักที่แอ่งเหนือน้ำตกนั่นแหละ ได้เรื่องเลย นั่งพักแค่แป๊บเดียว แล้วพยายามเดินต่อเพราะกลัวขาล้า ตะคริวก็ได้ทำการกินขาช่วงเข่าด้านในเป็นที่เรียบร้อย(คิดในใจว่า ไม่รอดแล้ว ไม่รอดแน่ๆ) ก็ฝืนๆ เดินไปอีกแป๊บ ชักไม่ไหวเพราะเริ่มเป็นจนปวดเลยหยุดเดินแล้วตะโกนบอกเพื่อน จุดนี้แหละที่ทำให้ซึ้งมากๆ คือ ทุกคนก็เริ่มมาดูอาการ มีเพื่อนคนนึงมานวดกดเส้นเอ็นที่ปวดให้ แล้วป้าหมอก็เอาผงอะไรสักอย่าง(น่าจะเกลือแร่) ผสมน้ำน้อยหน่อยให้ดื่ม แก้อาการ หลังจากนั้น ๕ นาที ตะคริวก็หายเป็นปลิดทิ้ง เลยต้องตะเกียกตะกายขึ้นสันเขากันต่อไป(ไม่ต้องบรรยายถึงความโหด มันโหดเท่าทวีคูณอ่ะ)
๑๕ นาทีก่อนถึงสันเขา ฟ้าเริ่มมืด เริ่มเดินไม่ไหว เลยขอเดินช้า รั้งท้ายกลุ่ม สักพักคณะของป้าหมอกับลุงแดงก็เดินผ่านมา เราก็เลยหันไปข้างหลัง ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดเดินตามมาอีก(เริ่มกลัว) เลยตัดสินใจกัดฟันเดินต่อไป (ขนาดป้าหมอใส่กระโปรงปีนเขายังไวกว่า แถมอายุมากกว่าเราด้วย เห็นแล้วนับถือมากๆ เลยฮึดๆๆๆ ขึ้นมาเลย) เดินๆ พักๆ เป็นช่วงๆ ไม่ให้ห่างจากกลุ่มป้าหมอกับลุงแดงมาก มีช่วงหนึ่งที่ ลุงแดงหันไปคุยกับคณะว่า “พวกเราใช้น้ำมัน แต่มีรถติดแก๊สคันนึงอยู่ข้างหลังเรา ค่อยๆ ขึ้นมานะ” (รู้สึกว่าจะโดนแซวแบบให้กำลังใจ ฮ่าๆ) ก็เดินๆ เรื่อยๆ จนเพื่อนเริ่มตะโกนหาเรา แล้วบอกว่า ให้อดทนจะถึงแล้ว ก็เลยมีกำลังใจขึ้นมา(นิดนุง) … ๕ นาทีก่อนถึงสันเขา หอบแดกมาก ฟ้าสลัวๆ กำลังจะเดินผ่านลุงแดง ลุงแดงก็หันมาพูดกับเราว่า “แหงนมองข้างบนหัวเราสิ เห็นไหม ดอกลิ้นมังกรมาออกดอกต้อนรับเราแล้ว ไปๆ อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงแล้ว” นั้นแหล่ะคือเหตุการณ์ที่จะประทับไปในความทรงจำอีกนานเท่านาน มันเป็นประโยคที่อบอุ่นแล้วก็ให้กำลังใจ
ตั้งแต่ตอนนั้นมา เวลาเดินก็เลยพยายามมองหาสิ่งสวยๆ รอบตัวตลอด เพราะปกติเวลาที่เหนื่อยมากๆ ก็จะรีบๆ เดิน ไม่สนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่ พอเจอเหตุการณ์นี้ ก็เลยคิดว่ารู้สึกเสียดายที่ตอนแรกๆ ไม่ได้ชื่นชมมัน จนในที่สุดก็มาถึงสันเขาจนได้ บอกตรงๆ ว่า สวยจนหายเหนื่อยเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะขึ้นมาถึงบนนี้ได้สำเร็จ คุ้มค่า กับครั้งหนึ่งของชีวิต…แต่มันยังไม่จบแค่นั้นเมื่อถึงสันเขา เราต้องเดินเลียบสันเขาเข้าไปยังที่พักอีก ต้องบอกว่า
เป็นจุดที่สนุกมาก เพราะไม่มีทางลาดชันให้ปีนแล้ว(ถ้ามีอีกจะนอนมันตรงนั้นแหละ จริงๆ) แล้วก็เป็นจุดที่ได้เดินไปกับเพื่อนในคณะครบทุกคน ตอนนั้นตั้งทีมนำ ทีมตาม และคนปิดท้าย พร้อมกับฉายไฟ คลำทางหารอยที่ต้นไม้ มองรอยกิ่งไม่หัก หรือแนวทาง เหมือนเดินป่ากันเอง เพราะกลุ่มหน้าเดินหายเงียบไปแล้ว แล้วข้างหลังก็ไม่มีใครเดินตามมา(ก็กลัวหลงทางเล็กๆ นะ ถึงพี่ๆ เขาจะบอกว่าเดินตรงๆ ตามสันเขาเลยไม่หลงหรอก) เดินเรื่อยๆ ผ่านจากจุดที่เป็นสันเขา สู่ป่าโล่งที่มีลานหินเป็น หย่อมๆ จนมาถึงจุดที่นั่งพักดูดาวกัน เป็นลานหินที่กว้างมาก พอสมควร มองออกไปเห็นเป็นหน้าผาที่มีวิวของแสงไฟเมือง ประดับอยู่ ตอนนั้นมีความสุขมากจริงๆ นั่งเฮฮากันไปเรื่อยเปื่อยมากๆ
คุยกันหลายเรื่องจนจำไม่ไหวเลยหละ ฮ่าๆ สักพักเราก็ เดินทางต่อไปอีกนิด ไปเป็นจุดที่นั่งกินอาหารมื้อค่ำกัน (มันเลยมื้อเย็นมาละอ่ะ) เป็นมื้อที่อร่อยอีกมื้อหนึ่ง เพราะได้กินปลาร้าสับที่แบกกันมา ฮ่าๆ ต้องบอกว่าจุดๆ นี้ เป็นจุดที่ไป เด็ดดอกไม้ครั้งแรกในป่า ตั้งแต่ที่เดินมาตลอดทาง จะขุดฝังทิช
ชู่ก็ดันเจอแต่หิน ก็ลำบากดีนะ หลังจากอิ่มท้องกันทุกคนแล้ว เราก็พากันเดินป่าผ่านทุ่งหญ้ามากมาย(ไม่ขอบรรยายมาก มองไม่เห็น เอาไฟฉายแถมฟรีมา ส่องยังไม่เห็นหัวเข่าตัวเองอ่ะ ฮ่าๆ) ระหว่างทางก็จะเจอกับหนามหวายมากมาย ซึ่งมีคนเคยบอกไว้ว่า “ถ้าโดนหนามหวายเกี่ยวให้เดินถอยหลังเล็กน้อยแล้วมันจะหลุดเอง แต่ด้วยสเต็ปเทพของตนเอง เมื่อโดนหนามหวายเกี่ยว จึงเดินถอยหลัง แล้วหมุนตัวเล็กน้อย ฮ่าๆ คราวนี้
เดือดร้อนถึงคนอื่นทันที ต้องมาช่วยแกะหนามออก” หลังจากนั้นก็เดินบ่นออดๆ แอดๆ ไปเรื่อย ยันถึงที่กางเต็นท์ไปอาบน้ำอาบท่า ช่วยเขาทำอาหาร กินข้าว และเตรียมจะเข้านอน พี่ๆ ก็หันมาถามว่า “คืนนี้แผนไทยฯ ใครจะเฝ้ายาม”(ณ จุดๆนี้ จะร้องไห้) ด้วยความที่เห็นว่าทุกคนเริ่มเอาหัวไถหมอนกันเกือบหมดแล้ว ก็เลยกลายเป็นเรากะเพื่อนอีก ๒ คน พร้อมโต๋ คิง และบิว จำได้ว่าเป็นอะไรที่ทรมานมาก(ง่วงอย่างหาที่สุดมิได้) อยู่เวรเที่ยงคืนถึงตีสอง คืนแรกนั่งส่องบริเวณรอบๆ เต็นท์กะเฝ้าไฟ มีพี่ๆ ร้องเพลงให้ฟัง จำได้แค่นั้นจริงๆ พอตีสองเป๊ะ ก็เอาหัวมุดถุงนอนปั๊บ
๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้ทำการงัวเงีย ตื่นขึ้นมาในช่วงสายๆ จากเสียงปลุกของพี่ๆ คุณคิงเลื้อยขึ้นมานอนแทรกอยู่ข้างๆ ส่วนปลายเท้าเราเขี่ยแขนโต๋อยู่ (อันนี้ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ฮ่าๆ) นอนกันเกลื่อนมากมาย ก็ลุกขึ้นมาช่วยพี่ๆ เขาทำกับข้าวมื้อเช้า(กินกันแค่มื้อเช้า กับมื้อเย็น) กินข้าวแล้ว นอนต่อก็แล้วเพื่อนคิงก็ยังไม่ตื่น เลยจัดการแกล้ง สักหน่อย ด้วยการถักเปีย แต่งหน้าและผูกเชือกฟาง โยงไปโยงมา
ช่วงหลังๆ ตอนประชุมแบ่งหน้าที่ก็เลยมีผู้สมรู้ร่วมคิดเป็น คุณโต๋และพี่อ๋อ มัดเพื่อนคิงเป็น แหนมหมู(มีความสุขมากที่ได้แกล้ง คน ฮ่าๆ) ตอนบ่ายแก่ๆ ก็มีเพื่อนๆ ใจดี(รึล่อลวงเรา) นำทางแม่นางทั้ง ๔ อย่างพวกเราไปเล่น บ่อน้ำตกที่กล่าวขวัญกันมาบอกได้คำเดียวว่ามัน เหม็นเน่ามาก เพราะน้ำไม่ไหล ถึงน้ำจะลึกถึงคอ ลึกกว่าน้ำตกที่เราอาบก็เถอะนะ แถมคนนำทางมาพอเห็นเราลงแล้วเหม็น ก็ไม่ยอมลงมาเล่น ให้เราลงไปตัวเน่าซะงั้น(แค้นมาก ฮ่าๆ) สุดท้าย ก็เลยต้องกลับไปหาน้ำตกเดิมข้างที่พัก(จะร้องไห้ T^T เดินมาตั้งไกล ปวดเมื่อยทั้งตัว แถมขาก็เขียวช้ำจากการเลื้อยขึ้นสันเขามามาก ชึ่ย ) พอตกเย็นหน่อยก็ตามพี่อ๋อ ไปทำกิจกรรมที่ลานหินด้านนอก มีความสุขที่ได้ถอดรองเท้าย่ำไปบนพื้นดิน ได้รู้จักกับดอกไม้นานาพันธุ์ ซึ่งเมื่อคืนเราเดินผ่านมันมา บ้างเหยียบย่ำ บ้างไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้เรามาชมเจ้าด้วยความตั้งใจ อย่างเช่น ดอกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง(ภายหลังได้ถูกเรียกผิดเพี้ยนไปโดยพวกเราว่า เอื้องมาเร็ว และเอื้องม้าย่อง ฮ่าๆ) ดอกสร้อยทอง กระดุมเงิน และเจ้าหยดน้ำค้างสีแดง .. แถมกิจกรรมนี้ยังได้รู้จักกับบัดดี้ที่มาไกล๊ไกล คอยดูแลเทคแคร์(อย่างฮาร์ดคอร์มากจริงๆ ฮ่าๆ) กันจนจบทริป ได้เพื่อนใหม่เยอะแยะ ทั้งๆ ที่ ถ้าโดยปกติพวกเราคงอาจจะไม่ได้เข้ามาคุยกันอย่างนี้ก็ได้ ต้องขอบคุณกิจกรรมนี้มากๆ เลยค่ะ กับการปิดตาพาไปดูมุมที่ประทับใจ โดยบัดดี้เราก็ได้ของแถมเป็นกลิ่นกะปิที่ทำค้างไว้ด้วย(แม่หญิงผู้ก่อคดีล้างผลาญกะปิ ในการทำน้ำพริกกะปิไว้) เอิ๊กๆ …
๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ วันนี้ตื่นเช้ากว่าเดิมเล็กน้อย เพราะจะได้ไปเล่นน้ำตก สายๆ หน่อยหลังจากอาบน้ำ และกินข้าวกันแล้ว ก็แพ็คของแบ่งใส่เป้ใบเล็กๆ เดินเท้าเข้าไปนานหลายชั่วโมง (๒ – ๓ ชั่วโมงได้มั้ง เดินจนถอดใจ กลัวเจอน้ำตกแบบเป็นแอ่งน้ำขังแบบเมื่อวาน ฮ่าๆ) ระหว่างทางก็เจอดอกไม้สวยๆ มากมาย เจอพันธุ์พืช นานาชนิดๆ เช่น ต้นสมอปูน หัวร้อยรู เตยหนาม เตยหอม ติ้ว แถมรายทางยังเต็มไปด้วยรอยเท้า และมูลของสัตว์ป่า(ตื่นเต้นดีนะ ฮ่าๆ)
พอถึงน้ำตกต้องบอกว่าสนุกมากๆ น้ำใสและเย็นมากๆ เกินความคาดหมายสุดๆไปเลย ไม่รอช้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและกระโดดน้ำตกทันที เล่นกันจนตัวเปื่อย เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายโมง จึงก่อไฟทำกับข้าวกินกันอย่างหิวโหย เพราะเสียแรงจากการกระโดดน้ำไปมาก ฮ่าๆ ตกเย็นหลังจากกลับจากน้ำตก ก็มาตั้งวงร้องเพลงซึ้งๆ (เรียกน้ำตาไปได้หลายปี๊บ T^T) เฮฮาปาจิโกะ กันจนเข้านอนก็ยังคงมีนักร้องเสียใสร้องเพลงเป็นเพื่อน คนที่เฝ้ายามอย่างพวกเรา(ช่วงเวลาเดิม กับเพื่อนกลุ่มเดิมอีกครั้ง) แถมมีอาหารว่างกรุบกริบก่อนนอนด้วย(ข้าวเกรียบปลา ยำหมูยอ และถั่วคั่วไม่สุกอร่อยมาก )
๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไวจนน่าใจหาย นั่นคือสิ่งที่เราตื่นขึ้นมาพูดกับเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆ พวกเราต้องเตรียมเก็บของทุกอย่าง ที่เรานำขึ้นมา ต้องเผากระป๋องต่างๆ และฝังขยะสดหรือพวกเศษอาหารต่างๆ หลังจากนั้นก็ทำการ อำลาไฟ (เป็นพิธีที่เจ็บปวดที่สุด เพราะโดนแกล้ง ขี้เถ้าเต็มตัวอ่ะ = =’) เมื่อพร้อมพวกเราก็สะพายเป้ขึ้นบ่าอีกครั้ง มุงหน้าลงสู่เส้นทางเดิม กลางแดดที่ร้อนมาก(ตอนขามาเดินผ่านลานหินตอนกลางคืน) ก็เดินเฮฮากันไปเรื่อยจนถึง
บริเวณสันเขานี่แหล่ะ เริ่มห่อเหี่ยวเพราะต้องจิกเท้าลงเขา(คิดว่าอยากจะโยนเป้ลงเขา และกลิ้งลงจริงๆ) เป็นอะไรที่เหนื่อยพอๆ กับขาขึ้น แต่ที่ต่างออกไปก็คงจะเป็นความอันตรายของการลื่นนี่แหละ จิกปลายเท้ากับพื้นสุดกำลัง ตรงไหนที่เคยใช้สองมือปีนป่ายขึ้นมาก็ต้องใช้ก้นถัดๆ ลงไป ช่วงที่ลงเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาเดินตามคู่กัดได้อย่างไร ซึ่งเป็นวันที่คุณเขาไข้ขึ้น แต่เขาอึดมากจริงจัง เดินแบกเป้ใบเท่าบ้าน คอยสกัดเราที่จะไหลไปทับเขา บางช่วงก็ต้องช่วยดึงเรา(รู้สึกขอบคุณจริงๆ ค่ะ) จนมาถึงช่วงแอ่งน้ำตกนี่แหล่ะ หันหน้ามาเจอกันนี่ คุณเขามีปากและหน้าที่ซีดมาก (ปกติก็ดำนะ ฮ่าๆ) ก็ได้มิตรภาพกันตรงนี้ แหละนะ เอิ๊กๆ พอมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เป็นช่วงที่แยกเดินกับกลุ่มเพื่อน เพราะขามาไม่ได้ขึ้นมาทางน้ำตก ขาลงก็เลยอยากลงทางน้ำตกดูบ้าง(ได้มันส์สมใจเลยทีนี้) พอเลยจุดที่โรยเชือกลงมา ทอยเป้เรียบร้อยก็นั่งพักสักแป๊บ พี่อ๋อก็
หันมาพูดกับเราว่า ‘จูนไหวป่าว ป่ะ’ เราก็เออเหนื่อยนิดๆ แต่พี่ชวน ไปก็ไป กลายเป็นการลากเราไปแกล้งอ่ะ พาเราไปวิ่งป่า โดยมีพี่นิมคอยเก็บภาพที่เราลื่นไถลทุกท่วงท่าจริงๆ (แค้นนี้ต้องชำระ !!!) จะเดินช้าก็ไม่ได้ เพราะข้างหลังก็ไม่มีใครตามมาเลย ข้างหน้าก็รีบอย่างกะโจรบุก ก็เลยต้องวิ่งป่าตามไปจนถึงคลองต้มกาแฟในที่สุด(เหนื่อยโฮก บอกตรงๆ T^T) ณ ที่ตรงนี้ พวกเราได้มานั่งกินข้าวร่วมกันอีกครั้ง จนบ่ายคล้อย พวกเราถึงแยกย้ายกัน มีบางกลุ่มที่อยู่ฝังปากช่องก็จะเดินไปอีกทาง ส่วนพวกเราก็เดินกันไปทางฝั่งปราจีน พอเดินทะลุออกจากป่ามาปุ๊บ มาเจอสปอนเซอร์ขวดนั้น เหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยแหล่ะ ฮ่าๆ
สุดท้ายนี้ต้อง ขอขอบคุณมิตรภาพ และน้ำใจจากเพื่อน พี่ และน้องๆ ทุกคนที่ร่วมทริปกันมา ถึงจะเหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็ยังมีเพื่อนร่วมทางที่คอยช่วยเหลือกันตลอดทาง ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่ทำให้มีทริป สนุกๆ นี้ขึ้น ขอบคุณธรรมชาติที่รังสรรค์สิ่งสวยงามเหล่านี้ขึ้นมา ทำให้ฉันได้มาพบมาเห็นสิ่งที่สวยงามและทำให้เป็นสุขใจ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าวันนั้นฉันตัดสินใจไม่มาร่วมทริปนี้ มันจะดีกว่านี้ไหม แต่ที่แน่ๆ
ฉันไม่สามารถพบเจอกับการเดินทางแบบนี้ได้ที่ไหนอีกแล้ว นอกจากที่นี่ที่เดียว ‘สมอปูน’
‘What you discover on your own is always more exciting than
what someone else discovers for you’
By – Juno J.Moore –