เรื่องเล่าจาก “เขาสมอปูน” สู่แผ่นกระดาษ

samorpoon 56 -  (97)เมื่อรู้ว่าจะได้ไปเดินป่าที่เขาสมอปูน ก็งงนิดๆ ว่าเราจะเดินไหวเหรอ เพราะพี่แสนดี(พี่ที่ชวนไป)เล่าให้ฟังว่า “ต้องปีนเขา ทั้งลำบากและเหนื่อยมากยังต้องแบกกระเป๋าที่หนักอีก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปเพราะอยากจะรู้ว่ามันจะเป็นยังไงและเพื่อนผู้หญิงที่ไปด้วยกันจะได้มีเพื่อนไปด้วย” แต่จากนั้นพี่แสนดีก็บอกสิ่งที่ต้องเตรียมไปและวิธีการแพ็คกระเป๋าว่าต้องทำยังไง  พอเก็บของและอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมไปแพ็คลงใส่กระเป๋าเสร็จเรียบร้อยเท่านั้นแหละค่ะ พอยกขึ้น โอ้โห! หนักมากค่ะ ถึงกับต้องบ่นกับตัวเองว่า “จะรอดมั้ยเนี่ยเรา” แต่สุดท้ายก็ต้องแบกมันอยู่ดี เพราะมันเป็นของที่เราจะใช้ดำรงชีวิตในป่า

samorpoon 56 -  (254)samorpoon 56 -  (105)และเมื่อถึงวันเดินทางวันที่ ๑๘ ต.ค. ซึ่งเราจะเดินทางไปพักบ้านพี่เก่ง(พี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่)ก่อน ๑ วัน แต่พี่เขาไม่ได้ไปเดินป่ากับเราด้วย เพราะแฟนพี่เก่งตั้งท้องและกำลังจะคลอดในอีกไม่กี่วัน ทีมของเรา-มหาวิทยาลัยมหาสารคามเดินทางไปทั้งหมด ๗ คน ระหว่างที่เดินทางจะไปพักที่บ้านพี่เก่ง ฝนก็ตก กระเป๋าเดินทางก็เปียก และแล้วก็เกิดความกังวลขึ้นว่า “ขนาดก่อนเดินทางยังขนาดนี้วันเดินป่าจะขนาดไหน”   พอไปถึงบ้านพี่เก่ง  พี่เค้าใจดีมากเลี้ยงหมูกระทะด้วย พอถึงวันที่ ๑๙ ต.ค. พวกเราเตรียมตัวเตรียมของเพื่อเดินทาง ซึ่งมีพี่ๆ กลุ่มรักษ์เขาใหญ่เดินทางด้วย เห็นกระเป๋าของพี่ๆ แต่ละคนทั้งใหญ่และหนักมาก จึงคิดในใจว่า “พี่เขาแบกกันได้ยังไง ทั้งเดินป่า ทั้งปีนเขา”  และมีชาวต่างชาติไปร่วมเดินป่ากับเราด้วย ๑ คน ชื่อว่า “พี่น้ำฝน”  พี่พูดภาษาไทยเก่งและชัดมาก หลังจากนั้นพวกเราก็ได้นั่งรถไปเขาสมอปูนกัน  นั่งรถนานมากจนหนูต้องนั่ง

samorpoon 56 -  (48)หลับ พอไปถึงก็มีพี่ๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่รอรับพวกเราอยู่เพื่อที่จะนำทางให้พวกเรา ซึ่งตอนเริ่มเดิน  หนูเป็นทีมแรกที่เดินไปก่อน พี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็ได้แนะนำต้นไม้แต่ละชนิดว่ามันมีรูปลักษณะแตกต่างกันอย่างไร พอเริ่มเดินไปเรื่อยๆ เริ่มไม่ไหว เดินช้าลง พี่เจ้าหน้าที่ก็เลยหยุดพานั่งพักและรอพี่ๆ ที่เดินตามมาข้างหลัง จากนั้นเราก็พากันเดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางชันที่เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ต่างก็ปีนด้วยความระมัดระวังเพราะมีตะไคร่เกาะอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้samorpoon 56 -  (12)เราลื่นได้ จากนั้นต่อด้วยป่าไผ่ทั้งรกและยุงเยอะมาก  เราเดินกันไปเรื่อยๆ ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน จนมาถึงลำธารเล็กๆ พี่เจ้าหน้าที่ก็เลยให้หยุดพัก น้ำในลำธารทั้งใสและเย็นมาก พวกเราก็เลยใช้น้ำลำธารล้างแขน ล้างหน้า เพื่อที่จะให้ร่างกายสดชื่นเพราะร้อนมาก เรานั่งพักกันได้สักพักหนึ่งก็มีพี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ ๒ คนเดินมาและบอกว่า“ใกล้จะถึงแล้วอีก ๕๐๐ เมตร”   แล้วพี่เขาได้เดินไปช่วยถือกระเป๋ากลุ่มพี่ๆ ที่เดินตามมาทีหลัง พวกเราsamorpoon 56 -  (18)ก็ได้เดินกันต่อกันไปอีกนิดหนึ่งก็ถึงลำธารเล็กๆ อีกซึ่งพวกเราเรียกลำธารนั้นว่า“คลองต้มกาแฟ” เพราะเราใช้ต้มกาแฟและทำอาหารด้วย มีพี่กลุ่มหนึ่ง(พี่กลุ่มทางฝั่งปราจีน) นั่งรอเราอยู่แล้วที่คลองต้มกาแฟและพี่ๆ ที่เดินมาถึงทีหลังก็เริ่มเดินทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ จนครบทุกคน เราทุกคนก็ได้นั่งพักและกินข้าว จากนั้นก็ได้แนะนำตัวพี่ๆ แต่ละคน แล้วให้พวกเราเตรียมตัวเดินทางกันต่อ ซึ่งพี่ๆ ได้บอกว่า”ให้เราเตรียมตัวดีๆ เพราะทางเดินข้างหน้ามันอันตรายและลำบาก”  เราก็เดินทางกันต่อ ซึ่งทางที่เราจะเดินต่อนั้นลำบากมากทั้งสูงทั้งชันพวกเราต้องเดินด้วยความระมัดระวัง และยังต้องปีนเขากันอีกทั้งสูงทั้งเสียว ต้องระวังเวลาปีนก็ต้องระวังหินตกใส่เราด้วย   พวกเราก็ปีนกันเรื่อยๆ จนค่ำ ซึ่งต้องใช้ไฟฉายในการส่องทาง แต่เราก็samorpoon 56 -  (33)ต้องปีนและเดินทางกันต่อ สักพักเราก็เดินไปถึงลานหินที่พี่ๆ ที่มาก่อนหยุดพักเราก็ได้หยุดพักกันตรงนั้นเพื่อรอกลุ่มข้างหลังคือ กลุ่มของอาจารย์นพ(อาจารย์อาวุโส ที่พี่ๆ ทุกคนให้ความเคารพ)เพราะยังไม่ถึงที่พัก  ก็โชคดีทางที่เดินตอนค่ำไม่ได้ปีนเขาแต่เดินบนพื้นราบ แต่ก็ทั้งเปียกทั้งแฉะแถมมีหนามอีก เราเดินทางกันไปเรื่อยๆ จนถึงที่พัก พวกเราก็ช่วยกันเตรียมที่พัก หาฟืน ก่อไฟ ทำกับข้าว samorpoon 56 -  (211)หลังจากนั้นเราก็พากันไปอาบน้ำ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อาบน้ำในลำธาร น้ำเย็นมาก แต่ก็โรแมนติกมาก ดวงจันทร์ก็ส่องแสงสว่าง พอเราทำกิจกรรมต่างๆ เสร็จก็พักผ่อน …..
วันที่ ๒๐ ต.ค. วันที่สองของการเดินทาง พี่ๆ คงให้เราพักผ่อนเพราะนอนทั้งวันเลย จากนั้นพอตกเย็น พี่อ๋อ(พี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่) ก็พาพวกเราไปดูดอกไม้ ซึ่งมีดอกดุสิตา ดอกสีม่วง ดอกกระดุมเงินสีขาวลักษณะของดอกก็คล้ายกระดุม และยังมีดอกไม้ต่างๆ อีกมากมาย ต่อจากนี้พี่อ๋อก็ให้พวกเราเงียบแล้วนั่งหลับตาแล้วฟังเสียงต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา พอทำเสร็จพี่ก็ถามว่า “เรารู้สึกอย่างไรกันบ้าง” ทุกคนก็ได้แชร์ความรู้สึกของแต่ละคน ต่อจากนั้นพี่อ๋อ(พี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่)  ก็ให้พวกเราจับคู่บัดดี้กัน และให้แต่ละคนแยกย้ายไปหาดอกไม้ ก้อนหิน หรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ที่เราประทับใจและเพราะอะไรที่ทำให้เราชอบสิ่งนั้น แล้วให้ปิดตาพาคู่บัดดี้ของเราไปดูและให้บอกเหตุผลที่samorpoon 56 -  (118)ชอบ ซึ่งพี่อ๋อได้บอกว่า“คู่บัดดี้ต้องเชื่อใจและไว้ใจกัน เพราะเราปิดตาเดิน” เมื่อทุกคนได้ไปเห็นสิ่งที่คู่บัดดี้ของแต่ละคนพาไปแล้วเราก็มาแชร์กันว่ารู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งความรู้สึกของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป คู่ของพี่บางคนก็ตลก ของพี่บางคนก็ให้แง่คิด พอเสร็จเราก็พากันกลับไปที่พักและพี่ๆ ก็ให้เราแบ่งหน้าที่กันทำงานต่างๆ ทั้งทำกับข้าว ล้างจาน เฝ้าเวรยาม ซึ่งทุกคนก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง พอตกดึกก็มีพี่ๆ ที่ยังไม่นอน นั่งคุยกัน ทำกับข้าวรอบดึกกินกัน และนั่งดีดกีต้าร์ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งหนูได้รับหน้าที่เฝ้าเวรเวลาตี ๒ ถึง ตี ๔ กับพี่ๆ อีก ๒ คน พอเข้าเวรเสร็จพวกเราก็พากันไปนอนต่อ samorpoon 56 -  (116)samorpoon 56 -  (156)พอถึงวันที่ ๒๑ ต.ค. ตอนเช้าเราก็พากันทำอาหาร และเตรียมตัวกันเดินไปน้ำตกคลองฟันปลา ซึ่งก็ได้เตรียมอาหารไปกินกันด้วย พอเราเริ่มเดินทางแดดร้อนมาก ทั้งป่าไผ่ ทั้งหนาม พอไปถึงน้ำตกคลองฟันปลาทุกคนก็พากันลงเล่นน้ำ แต่ก็มีพี่ๆ ส่วนหนึ่งที่ต้องคอยก่อไฟต้มน้ำไว้ เพื่อที่เล่นน้ำเสร็จจะได้มีอะไรกิน ทุกคนต่างเล่นน้ำด้วยความสนุก น้ำเย็นมากเล่นไปเล่นมาก็ล้อกันว่า“ใครเยี่ยวน้ำลงบ้าง ใครกินน้ำเข้าไปบ้าง” อยากจะบอกว่าสนุกมาก พอเล่นเสร็จ ทุกคนต่างพากันหิว ต่างพากันหาอะไรกินทั้งมาม่า โอวัลติน กาแฟ พอเราเล่นน้ำและทานอาหารเสร็จก็ช่วยกันทำความสะอาดเก็บของกลับที่พักกัน ตอนกลับพี่ๆ บางคนก็เปลี่ยนเสื้อผ้าบางคนก็ไม่เปลี่ยนทำให้ตอนเดินกลับทั้งหนาวทั้งสั่น คันอีกต่างหาก พอพวกเราถึงที่พักก็ต่างพากันแยกย้ายทำหน้าที่ของตนเอง ทั้งทำกับข้าว ล้างจาน และหลังจากนั้นก็ทำภาระกิจส่วนตัว เสร็จแล้วก็พากันมาทาน1397666_10151931939724726_526703870_oอาหารกัน และพักผ่อนตามอัธยาศัย พอตอนดึกๆ  พี่นิมกับพี่หวาน(พี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่)  พาเราไปนั่งดูดาวที่ก้อนหินขนาดใหญ่ เพราะเป็นวันที่ท้องฟ้าเปิดและพระจันทร์เต็มดวง พี่นิมได้ให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของดวงดาว และได้บอกด้วยว่าดาวแต่ละกลุ่มนั้น อยู่ตรงไหน และสอนวิธีการดูดวงดาวด้วยว่า กลุ่มดาวแต่ละดวงมีลักษณะเป็นอย่างไร มีทิศทางการขึ้นตรงจุดไหน ขึ้นสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันช่วงเดือนไหน เวลาไหน ซึ่งตอนนั้นทั้งนั่งดูดาวและนั่งดูเครื่องบินด้วย เพราะเครื่องบินบินอยู่ทั้งคืน จากนั้นพี่นิมก็ให้เราเงียบฟังเสียงต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราว่าได้ยินเสียงอะไรบ้างและรู้สึกอย่างไร แต่ก่อนที่พี่นิมจะให้เราเงียบนั้น พี่ได้เล่าให้เราฟังว่า“บางคนเวลาเงียบแล้วได้ยินเสียง น้ำในลำธารหรือน้ำตก เสียงลม เสียงแมลงต่างๆ  และเสียงใบไม้ เหมือนกับว่ากำลังคุยกัน หัวเราะกันอยู่”  พอพี่เล่าให้พวกเราฟังเสร็จ พี่ก็เริ่มให้พวกเรานั่งเงียบ และหลับตาฟังเสียงรอบตัวเรา ซึ่งรู้สึกโล่ง สดชื่น ผ่อนคลาย รู้สึกดีมากๆ พอเราทำเสร็จพี่ก็เล่าถึงการsamorpoon 56 -  (196)เปลี่ยนแปลงของเขาสมอปูน “ว่าเมื่อก่อนข้างหน้าที่เรานั่งดาวนั้นยังไม่มีต้นไผ่ แต่ที่มันมีก็เพราะการกินและการขับถ่ายของสัตว์ต่างๆ อาจจะทำให้พื้นที่บางส่วนเปลี่ยนแปลงไป”  ซึ่งก็มีหลายๆ เรื่องที่พี่ได้อธิบายและเล่าให้ฟัง แต่ก็ยกประเด็นมาเล่าให้ฟังประมาณนี้ เรานั่งดูดาวไปเรื่อยๆ พี่บางคนก็เห็นดาวตกด้วย พอเริ่มดึกอากาศหนาวมากและลมก็เริ่มแรง เรานั่งดูดาวอยู่พักใหญ่ พี่นิมก็พาเรากลับ ซึ่งพอเราเดินมาถึงก็มานั่งผิงไฟกันต่อ สักพักหนูจึงไปนอน และตื่นมาเข้าเวรอีกครั้งตอนตี ๒ ถึงตี ๔ และพอเข้าเวรเสร็จก็กลับเข้าไปนอนเหมือนเดิม

วันที่ ๒๒ ต.ค. เป็นวันที่เราจะเดินทางกลับลงมาจากเขาสมอปูน พวกเราเตรียมตัวเก็บของ ทำความสะอาดเก็บขยะ เพื่อให้สถานที่ตรงนั้นมันเหมือนเดิมมากที่สุด และอาจารย์นพก็ได้มาให้คำสอนข้อคิดต่างๆ ก่อนจะกลับด้วย หลังจากนั้นพี่อ๋อก็ถามว่า “ใครที่ยังไม่เคยทำพิธีอำลากองไฟบ้าง พิธีนี้เป็นพิธีขอขมาสิ่งที่เราได้ทำล่วงเกินsamorpoon 56 -  (351)ในป่านี้” จากนั้นพี่อ๋อก็ให้พวกเรามายืนเป็นวงกลมใกล้ๆ กองไฟ แล้วก็ให้หลับตาระลึกถึงสิ่งที่เราได้ทำล่วงเกินและขอโทษ พอเราหลับตาได้สักพักก็มีเขม่าไฟลอยขึ้นมาจากกองไฟมาติดตัวพวกเราทุกคน เพราะพี่หลอกให้เรายืนล้อมกองไฟแล้วหลับตาจากนั้นพี่ก็แกล้งพวกเราโดยเอาน้ำมาเทใส่กองไฟทำให้ควันเขม่าจากกองไฟจำนวนมากเลอะเสื้อผ้าแต่ละคน จากนั้นพวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทาง  แดดร้อนมากหนูเดินอยู่กับกลุ่มของ พี่ใหม่(พี่จากฝั่งปราจีน) พี่ได้เดินข้างหลังหนูแล้วคอยถามว่า“แพรวไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ” เดินไปได้สักพักหนึ่งก็หยุดพัก เราก็เดินทางกันต่อพอไปถึงลานหินที่เราได้หยุดพักตอนขาขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน พี่ๆ ก็ให้เรานั่งพักและให้กรอกน้ำจากลำธารตรงนี้และได้ให้เราเดินไปจุดที่ชมวิวด้านล่างของฝั่งปราจีน สวยมาก เป็นอะไรที่มหัศจรรย์สำหรับหนูมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เห็นแบบนี้จริงๆ ถึงกับพูดกับตัวเองว่า “ขึ้นsamorpoon 56 -  (372)มาได้ยังไงเนี่ย” จากนั้นก็เดินไปดูที่ที่พี่หวานดูอยู่ พี่หวานได้อธิบายให้ฟังถึง ตรงนั้นคือฝั่งของจังหวัดอะไรบ้าง เรายืนอยู่ตรงฝั่งไหน สถานที่ตรงนั้นคืออะไร และได้อธิบายถึงการรักษา ปกป้องของป่าแต่และเขตว่า พื้นที่ส่วนใดที่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบอยู่  พอเราดูและพักผ่อนกันพอสมควรแล้วsamorpoon 56 -  (407)พวกเราก็ได้เดินทางกันต่อ ตอนลงจากเขาสมอปูนนั้นเป็นอะไรที่เหนื่อย ที่ลำบากมากสำหรับหนู ต้องลงด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะอาจจะลื่นไถล ซึ่งตอนเดินลงนั้นมีพี่ๆ บางกลุ่มที่เดินลงคนละเส้นทางกับพวกเรา หนูได้เดินลงเส้นทางใหม่ที่ความลำบากก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ตอนลงหนูไม่พูดไม่จาอะไรกับใครเลย มันเหนื่อยมาก แต่ก็มีเพื่อนที่ไปด้วยกันคอยถามหนูตลอดว่า “แพรวไหวมั้ย” หนูก็ตอบว่า “ไหว” ตลอด แต่ที่จริงนั้นอยากกลิ้งลงไปด้วยซ้ำ พี่ต่าย(พี่ทางฝั่งปราจีน)  พี่นั่งลื่นไถลลงเกือบตลอดทาง เราเดินทางลงกันเรื่อยๆ จนถึง คลองต้มกาแฟ มีพี่ๆ จากฝั่งทางปราจีนนั่งรออยู่แล้ว เพราะพี่ๆ มาถึงก่อน พวกเราก็ได้พักและกินข้าวกันตรงนั้น พอสักพักพี่ทางฝั่งปราจีนก็ต้องกลับก่อน ซึ่งเราแยกทางกันตั้งแต่ตรงนั้น พอเราพักและเก็บของเดินทางกันต่อ เหมือนใกล้จะถึงเพราะเราได้ยินเสียงน้ำตก แต่ทำไมยังไม่ถึงสักทีก็ไม่รู้ samorpoon 56 -  (435)จนในที่สุดเราก็เดินลงมาถึงทางออกได้เสียที ทุกคนต่างยิ้ม และถอนหายใจกันอย่างทั่วหน้า พี่แสนดีได้ถามหนูว่า “ถ้าแพรวลืมโทรศัพท์ หรือของสำคัญไว้จะขึ้นไปเอามั้ย” หนูตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า “ยังไงก็จะไม่ขึ้นไปเอาแน่นอน” หาใหม่แล้วยอมให้แม่ด่ายังดีกว่า เรานั่งรอให้พี่ๆ เอารถมารับกลับไป ซึ่งตอนนั่งรถนั้นทั้งเวียนหัว และเริ่มเมารถ อาจารย์นพจึงบอกให้หนูกับเพื่อนไปนั่งกับรถพี่อ๋อ และมีน้องผู้ชายมานั่งกับเราด้วย พี่อ๋อพาเราขับรถไปส่งเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็พาเราขับรถกลับ พี่อ๋อขับรถได้หวาดเสียวและน่ากลัวมาก หนูจึงได้นอนมาตลอดทาง พี่อ๋อมาส่งเราที่บ้านพี่แขก(พี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่) เราได้อาบน้ำกินข้าวที่นั่น สักพักพี่เก่งก็มารับพวกเรากลับไปนอนที่บ้านพี่เก่งsamorpoon 56 -  (396)

samorpoon 56 -  (389)วันที่ ๒๓ ต.ค. เราจึงเดินทางกลับสารคาม การเดินป่าในครั้งนี้รู้สึกประทับใจพี่ๆ ทุกคนมาก พี่ๆ เป็นกันเองและอัธยาศัยดีมาก คอยให้ความช่วยเหลือต่างๆ คอยถามว่า “เหนื่อยมั้ย ไหวมั้ย ไม่ไหวบอกพี่นะ” พี่ๆ ใจดีมาก ซึ่งเริ่มการเดินทางก็กลัวพี่แขกเจอครั้งแรกสั่นเลย แต่พี่ก็ใจดีมาก พี่บอกว่าจำชื่อหนูไม่ค่อยได้เรียก“ไอ้ฟู” ก็แล้วกัน การเดินทางในครั้งนี้ได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นความอดทน มิตรภาพ ความมีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความเสียสละ ซึ่งการที่เราก้าวข้ามผ่านคำว่า“ไม่ไหว”  มาได้มันถือว่าเป็นกำไรชีวิตที่คุ้มค่ามากจริงๆ ถือว่าการเดินเขาสมอปูนครั้งนี้ เป็นเรื่องราวดีๆ และความประทับใจอีกเรื่องหนึ่งที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป…

 

แพรว ม.มหาสารคาม … 

ปิดการแสดงความเห็น