“ไปเขาสมอปูนกันไหม” คำถามนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ ๒ สัปดาห์ ก่อนวันขึ้นเขา และแน่นอนว่าคำตอบคือ “ไม่” ด้วยเหตุผล หรืออาจจะเรียกได้ว่า ข้ออ้าง นั้นมีมากมายกว่าทางขึ้นสู่เขาสมอปูนด้วยซ้ำ แต่เหตุผลจริงๆ มีเพียงสิ่งเดียวคือ “กลัวกิ้งกือ” เพื่อนผู้นั้นจึงละทิ้งความพยายามจะลากคนขี้กลัวขึ้นเขาอีกต่อไป แต่ยังมีเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งฝึกงานอยู่กลุ่มเดียวกัน พักอยู่หอเดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน คอยกล่อมทุกวัน ประหนึ่งน้ำเซาะหิน ระยะเวลาผ่านไป ๑ สัปดาห์ แล้วก็เป็นดังคำโบราณว่า“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” .. ชัญญาตอบตกลงว่าจะไปเขาสมอปูน ความกลัวกิ้งกือถูกบั่นทอนให้น้อยลงด้วยคำพูดจาก
เพื่อนว่า“เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง” นับจากวันที่ตัดสินใจเดินป่าก็มีเวลาตั้ง ๗ วันเพื่อ “เตรียมของ” แต่เหลือเวลาอีกแค่ ๗ วัน เพื่อ “เตรียมตัว” การเตรียมตัวที่ว่าคือ การวิ่งเหยาะๆ รอบสนามเทนนิส วิ่งบ้าง เดินบ้าง และแล้วเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่คืนสุดท้าย เป็นคืนที่ต้องตรวจสอบของในกระเป๋า เพราะต้องเตรียมให้ครบ แต่ไม่หนักเกินกำลังผู้สะพาย ที่ต้องรับผิดชอบกระเป๋าใบนี้ไปอีก ๔ วันข้างหน้า จัดกระเป๋าเสร็จ จึงลองสะพาย ลองชั่งน้ำหนัก จัดกระเป๋าใหม่ วนเวียนเวียนวนจนเป็นที่พอใจ จึงเข้านอนเติมพลังเพื่อวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับอะไร สิ่งใด ในสถานที่ที่รู้เพียงแต่ชื่อ .. เขาสมอปูน
วันแรก แปลกคนแปลกที่แปลกทาง ก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดนัดพบ เราต้องแวะที่วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร ไปช่วยกันแบ่งเบาสัมภาระกองกลางมาไว้ที่เป้สะพายหลังของแต่ละคน สถานที่นัดหมายที่ว่านั่นคือ ด่านเนินหอม รู้ชื่อ ไม่รู้ที่(อีกแล้ว) หลังจากวัดความดันโลหิต และตรวจ
ชีพจรครบทุกคน จึงเริ่มออกเดินเท้า ในช่วงแรกๆ มีความกังวลอยู่มาก จากกิ้งกือตัวน้อยๆ แต่ทุกๆ ย่างก้าวที่ไม่เจอกิ้งกือ ทำให้ความกลัวลดลง กลับเป็นน้ำหนักกระเป๋าที่มากขึ้นแทน แม้จะหนักแค่ไหน เท้าก็ยังคงเดินต่อไปจนเวลาเที่ยง และถึงที่พักพอดี สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า “คลองต้มกาแฟ” พี่ๆ เล่าให้ฟังว่า ทุกปีที่ขึ้นเขาสมอปูนจะแวะพักเพื่อชงกาแฟดื่มกัน พร้อมทั้งพักรับประทานอาหารกลางวัน นอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังทำให้กระเป๋าเบาลงอีกเล็กน้อย(แค่นี้ก็สุขใจแล้ว) ด้วยกระเป๋าใบเล็กทำให้ใส่ของลงในกระเป๋าไม่หมด ต้องผูกของพะรุงพะรังกับกระเป๋าด้วยเชือกฟางสีแดง แต่ด้วยทางเดินทำให้ของที่ถูกมัดติดอยู่กับกระเป๋าร่วงหลุดลง แต่ละครั้งที่มีการหยุดพักจึงต้องแพ็คสัมภาระใหม่ให้ติดแน่นทนนานกับกระเป๋าใบย่อม โดยมีโต๋เป็นมือฉมังเป็นผู้ลงมือ เมื่อข้าวของที่ถูกรื้อค้นออกมาในช่วงรับประทานอาหารกลางวันกลับเข้าไปนอนสงบอยู่ในกระเป๋าจึงออกเดินทางอีกครั้ง แต่สิ่งที่ไม่ควรลืมก่อนออกเดินเท้าคือการกรอกน้ำจากธารน้ำใส่ใส่ขวด เมื่อกรอกเสร็จแล้วยกขวดขึ้นดูนอกจากน้ำใสแล้วยังเย็นจนมีไอน้ำบางๆ เกาะอยู่รอบขวด
เหมือนเพิ่งหยิบมาจากตู้เย็นในร้านสะดวกซื้อ ต่อจากคลองต้มกาแฟขึ้นสู่สันเขาเส้นทางลำบากมากขึ้นดังคำบอกเล่าของพี่อ๋อที่ว่า ที่เดินผ่านมาเป็นเพียง“การชิมลาง” ต่อจากนี้ไปเป็นของจริง น้องๆ ต้องเดิน ๔ ขาขึ้นไป ของแบบนี้พูดไม่เท่าประสบพบเห็นด้วยตัวเอง ทางก่อนถึงคลองต้มกาแฟเป็นทางลาด
ส่วนทางหลังจากคลองกาแฟเป็นทางชัน ต้องทั้งปีน ทั้งป่าย ปากกัด ตีนถีบ เพื่อนช่วยดึงช่วยดัน ทำด้วยวิธีใดก็ได้ให้ตัวเราไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นสู่สันเขา ระหว่างทางนั้นสายตาไม่ได้มีไว้ดูต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นสวยงามอยู่ตามรายทาง แต่ต้องมองหาหินก้อนถัดไปที่เราจะต้องเหยียบ ต้องจับ และมองหาต้นไม้ที่มั่นคงพอที่เราจะจับแล้วดึงตัวเองขึ้นไป กระทั่งเวลาโพล้เพล้ของวันนั้น เหล่านักเดินเท้าถึงสันเขาเป็นที่เรียบร้อย ทิวทัศน์บนสันเขาสวย อากาศดี และอดนึกภูมิใจตัวเองไม่ได้ว่าแม้เขาจะสูงเพียงใด แต่ก็ไม่ได้สูงกว่ามือและเท้าของเราเลย พักรอเพื่อนร่วมทางมากันพร้อมหน้าพร้อมตา จึงเริ่มออกเดินเท้าบนสันเขา ซึ่งเป็นการเดินป่าในความมืด ที่มีสัญลักษณ์จากรอยฟันบนต้นไม้เป็นผู้นำทาง จนไปถึงลานหินกว้างที่มีทิวทัศน์ให้ชมยามค่ำคืน แสงไฟ แสงจันทร์ แสงดาว ตระการตา สวยไม่แพ้กับจุดพักที่ผ่านมา เมื่อผู้ร่วมทางครบแล้วจึงออกเดินต่อ ไปยังลานหินถัดไป เพื่อพักรับประทานอาหารเย็นตอนหัวค่ำ พร้อมกับชื่นชมบรรยากาศ
ท้องฟ้าสีดำ พระจันทร์ดวงโตที่สาดแสงจันทร์ทั่วฟ้าจนมองหาดาวที่เกลื่อนท้องฟ้าได้ยาก แต่การเดินทางยังไม่สิ้นสุดอยู่แค่นี้ พวกเรายังต้องเดินชักแถวยาวไปถึงที่พัก ที่มีผ้าใบปูพื้นสำหรับนอน ผ้าใบขึงกับต้นไม้กันแดด ฝน และน้ำค้าง มีกองไฟใกล้ที่พัก มีที่สำหรับทำอาหาร มีลำธารไหลผ่าน หลังจากจัดการสัมภาระ อาบน้ำชำระร่างกายที่ลำธารน้ำเย็น อยู่เวรเฝ้ากองไฟ ดูความปลอดภัยรอบๆ สถานที่พัก จึงได้หลับตา ทิ้งกายลงสัมผัสพื้น เตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่
วันที่สอง ส่องธรรมชาติ เช้านี้ตื่นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกตราลุงแขก ปลุกด้วยเสียงโมโนโทน ความดังระดับปานกลางว่า“ตื่นได้แล้ว” (อันที่จริงมีข้อความตามหลังอีกมากมาย แต่สติสัมปะชัญญะที่มีน้อย ถ้อยคำที่ผ่านหูเข้ามาจึงไม่ได้แวะที่สมองเพื่อประมวลผล) จึงจำใจจากจรที่นอนหมอนมุ้งมาจับมีด ตะหลิว กระทะ เพื่อทำอาหารที่มีรสชาติเข้มข้นกว่าอาหารเจ ๑ เปอร์เซ็นต์ ให้คนในค่ายรับประทานประทังชีวิต ซึ่งอาหารมื้อนี้ได้สอนให้รู้ว่า คนเรากินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน หลังจากทำอาหารเช้าเสร็จเสียงเหล่าข้าศึกเริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ตัวเมือง จึงต้องหยิบอาวุธอันได้แก่เสียมขนาดย่อม และกระดาษชำระสีขาวสะอาด แล้วออกเดินเท้าสอดส่องหาทำเลทอง ก่อนจะขุดหลุมเพื่อทำภารกิจ การปลดทุกข์ทางกายในที่โล่งแจ้งกลับทำให้เพิ่มทุกข์ทางใจ กังวลว่าคนจะเข้าใกล้ในระยะอันตราย แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี เมื่อปลดออก จึงเติมเข้าด้วยอาหารรสชาติกลางๆ ค่อนไปทางจืดที่ช่วยกันทำ หลังจากรับประทานอาการเช้าและแบ่งเวรเฝ้ากองไฟ แบ่งเวรทำอาหารอย่างเป็นทางการ จึงได้พักผ่อนตามอัธยาศัย บ้างเดินชื่นชมธรรมชาติ บ้างนอน
พักผ่อน บ้างพูดคุย แต่สำหรับผู้ที่หลงใหลการเล่นน้ำ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ได้ออกหาแหล่งน้ำให้ชุ่มชื่นหัวใจ โดยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าน้ำลึกเท่าอก ลงแช่น้ำได้ ๓ – ๔ คน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้องออกไปพิสูจน์ และแน่นอนว่าเป็นดังคำพี่ว่า แต่พี่อาจจะบอกไม่หมดว่าน้ำไหลช้าๆ จึงมีกลิ่นตุๆ เล็กน้อย ลงน้ำได้ไม่นานก็เดินขึ้นจากน้ำมาอาบน้ำที่ลำธารตามเดิม ช่วงเย็นมีการทำกิจกรรมที่ลานหินใกล้ที่พัก กิจกรรมทำให้เราหยุดเพื่อฟังเสียงของธรรมชาติที่กระซิบคุยกับเรา ได้มองธรรมชาติผ่านสายตาและความคิดของเพื่อน เมื่อตะวันลับขอบฟ้าจึงกลับเข้าที่พัก
วันที่สาม ตามเสียงน้ำตก วันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความง่วงงุนที่บรรจุเต็มเปลือกตาทั้ง ๒ ข้าง แต่คำว่าจะพาไปน้ำตก สำหรับคนชอบเล่นน้ำนั้นช่วยค้ำเปลือกตาไม่ให้ปิดลงได้ดีกว่ากาแฟดำเสียอีก เมื่อทำกิจวัตรยามเช้าเป็นที่เรียบร้อย ก็เตรียมของเข้ากระเป๋าสะพายไปยังน้ำตก เพียงแค่วันที่สามเริ่มรู้สึกว่าชุดที่เตรียมมานั้นน้อยเกินไป อาจเป็นเพราะเล่นน้ำบ่อย ชุดจึงแห้งไม่ทัน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเล่นน้ำตกเลย จึงเอาชุดที่ยังไม่แห้งไปใส่เพื่อเล่นน้ำตก สายๆ ของวันก็เริ่มออกเดินทางตามเสียงเรียกของน้ำตกคลองฟันปลา เดินไปด้วยใจหวังว่าจะเล่นน้ำตกให้สมกับที่ปีนป่ายขึ้นมา ด้วยทางเดินบนสันเขาไม่ได้ลำบากจึงสามารถเบนสายตาไปมองสมุนของไพรได้มากมาย เมื่อถึงน้ำตกฟันปลาแล้ว รอยยิ้มกว้างก็มาปรากฏบนใบหน้าทันที รีบตรงเข้าหลังพุ่มไม้เปลี่ยนชุด กระโดดลงน้ำเย็นใสไหลแรงให้สมใจอยาก เล่นน้ำตกชุ่มฉ่ำจนกระเพาะอาหารประท้วงให้มารับประทานอาหารกลางวัน เมื่อแปลงร่างอยู่ในชุดที่แห้งสนิทแล้วจึงลงมือเขมือบอาหาร
อันโอชะอันได้แก่ มาม่า และปลากระป๋อง(ป่าเขาลำเนาไพรทำให้อาหารสำเร็จรูปอร่อยขึ้นหลายเท่า) ด้วยพลังกายที่ลืมทิ้งไว้ในน้ำทำให้ความง่วงเข้าครอบงำ แอบนั่งลงซุกหน้าลงกับหัวเข่าแล้วพักสายตาเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินเท้ากลับที่พัก ขากลับกระเป๋าหนักกว่าเดิม อาจเพราะแบกเอาความง่วงมาจนแน่นกระเป๋า ถึงที่พักวางกระเป๋าลงได้ก็แอบงีบหลับไป ตื่นมาอีกทีเพราะนาฬิกาปลุกยอดนิยมตราพี่อ๋อ ให้ลุกขึ้นมารับประทานอาหารเย็น(ขอบคุณผู้ทำอาหารเย็นมา ณ ที่นี้) ก่อนจะตั้งวงร้องเพลง แต่เพียงไม่นานก็แยกย้ายกันตั้งวงนอนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ตกดึกผู้ที่มีหน้าที่เฝ้ากองไฟถูกสะกิดให้ตื่นขึ้นมานั่งมองกองไฟสีแดงที่ถูกรายล้อมด้วยหม้อสนามสีดำ และกระทะที่ถูกปลุกให้ทำหน้าที่ของมันเพื่ออาหารรอบดึก
วันที่สี่ ที่ต้องจากลา เวลาเช้าของวันนี้ช่างวุ่นวายกว่าทุกๆ วัน เมื่อทำกิจวัตรยามเช้าเป็นที่เรียบร้อย
ชาวค่ายต่างก้มหน้าก้มตายัดข้าวของเครื่องใช้ลงกระเป๋าใบเดิม เพื่อเดินลงทางเดิม และกลับสู่ที่เดิม จึงส่งสายตาบอกลาต้นพรมฤๅษี ดอกไม้สีสันสวยงาม ก้อนหิน ดิน หญ้า ป่าไผ่ และกองไฟที่เคยลุกโชน แล้วเริ่มออกเดินทาง ขาลงเขาไม่ได้สร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่ผู้เดินทางนัก เนื่องด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกช่วยให้เราเดินได้ง่ายขึ้น แต่ขณะเดียวกันแรงโน้มถ่วงของโลกก็ทำให้ทางเดินลงอันตรายมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงตัดสินใจนั่งลงกับพื้นดิน ใช้เท้ายันพื้นแล้วลื่นไถลลงเขา อย่างน้อยก็สุขใจว่าฉันจะไม่ล้มลง แม้ว่าบางช่วงที่ต้องลุกขึ้นเดินก็ต้องระวังไม่ปล่อยตัวไปตามลาดเขา ใช้เวลาเพียงไม่นานก็กลับมาสู่คลองต้มกาแฟอีกครั้ง หยุดพักรับประทานอาหารกลางวันมื้อสุดท้ายในห้องอาหารขนาดใหญ่ ที่ประดับด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หลายชนิด มีเพดานสีฟ้ากว้างสูงสดใส แล้วจึงบอกลาคนที่เคยแปลก ที่ที่เคยแปลก และทางที่เคยแปลก โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพบกันเมื่อไหร่
ตัวหนังสือที่ร้อยเรียงต่อกันยาวหลายหน้ากระดาษ ก็คงคล้ายกับสำนวนไทย “สิบปากว่า ไม่เท่าเขาสมอปูน”
ชัญญา