“สมอปูน” ครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้ก็ตั้งคำถามขึ้นมาทันทีว่า “สมอปูนคืออะไร? อยู่ที่ไหน? เดินทางอย่างไร? มีใครไปบาง?” แต่หลายๆ คำตอบที่ได้มาก็ยังไม่กระจ่างชัดภายในใจ พยายามสืบค้นข้อมูลต่างๆ จากอินเตอร์เน็ตทั้งบทความและรูปภาพ ภาพสมอปูนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในจินตนาการ แต่ยังคงเลือนลางเกินที่จะอธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจและมองเห็นภาพได้ ใช้เวลาตัดสินใจคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ ๕ วัน ก่อนตัดสินใจร่วมเดินทางสู่สมอปูนเพื่อให้ภาพที่เลือนลางอยู่ในจินตนาการแจ่มชัดขึ้น
หลังจากตัดสินใจ ร่วมเดินทางก็ได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทาง ข้อตกลง และสิ่งของที่ต้องเตรียมไป ตอนแรกที่รู้ว่าทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมด ๔ วัน ๓ คืน กิน นอน เข้าห้องน้ำในป่า ก็เริ่มหวั่นใจเหมือนกัน แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ เพราะอยากลอง อยากเรียนรู้การใช้ชีวิตในป่าที่เป็นป่าจริงๆ ที่ซึ่งธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นไว้อย่างสวยงาม ป่าที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่อื่นๆ มากมายนอกจากมนุษย์ มันคงเป็นสิ่งที่สวยงามและสร้างความสุขให้กับผู้คนที่ได้ไปสัมผัส
ก่อนวันเดินทาง ๑ วัน ผมและเพื่อนๆ ได้จัดเตรียมสิ่งของต่างๆ กัน เช่น เสื้อผ้า ถุงนอน ของใช้ส่วนตัว ภาชนะในการทำอาหาร ข้าวสารอาหารแห้ง และที่สำคัญอาหารสด ได้แก่ พวกผัก ไข่ไก่ เนื้อหมู ไก่ ปลา มีพี่ตาหวาน คอยเป็นพี่เลี้ยงในการจัดเตรียมอาหารสด ซึ่งขั้นตอนนี้สำคัญมากเพราะของสดเก็บไว้นานๆ ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะเน่า พี่เค้าสอนว่า “เราต้องเอาเนื้อสดมารวนก่อนโดยเอามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอคำ ตั้งไฟรวนกับเกลือเล็กน้อยให้พอสุกก็ยกขึ้นตั้งทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาใส่ถุงแกงมัดให้แน่น เพียงเท่านี้ก็สามารถเก็บเนื้อไว้ทำอาหารได้ประมาณ ๒ – ๓ วันแล้ว” นอกจากนี้แล้วก็ได้เตรียมยาต่างๆ ไปด้วยวันเดินทาง เราก็นั่งรถตู้ไปด่านของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ฝั่งปราจีนบุรี(ด่านเนินหอม) เพื่อรอผู้ร่วมเดินทางกว่า ๕๐ คน ก่อนเดินทางมีการตรวจวัดความดันโลหิตด้วย ซึ่งถ้าผิดปกติก็จะไม่ได้ร่วมเดินทางด้วย เพราะอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ เมื่อตรวจสุขภาพเสร็จแล้วก็นั่งรถไปลงที่ต้นทาง แบกกระเป๋าสัมภาระต่างๆ ซึ่งหนักมากๆ หลังแทบหัก เมื่อเห็นทางเดินเข้าป่ารู้สึกตื่นเต้นมากๆ มีแรงกายแรงใจเต็มที่ เริ่มเดินเท้าเวลา ๑๐.๐๐ น. แต่พอเดินไปซักพักเส้นทางเดินก็ยิ่งแคบลงๆ ต้นไม้ก็หนาแน่นขึ้น เริ่มรู้สึกเหนื่อย บ่นกับตัวเองว่าเมื่อไหร่จะถึงที่พักสักที เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
จากเส้นทางราบก็เริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆ มีต้นไม้หนาแน่น มีหนาม มียุง มีแมลง มีเนิน มีหินก้อนเล็ก-ใหญ่ มีภูเขาที่เป็นอุปสรรคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปวดบ่า ปวดหลัง และขาเริ่มอ่อนแรงลงทุกที แต่เมื่อมองไปข้างหน้าเห็นคนอื่นๆ ก็กำลังเดินกันอยู่ ทำให้มีแรงสู้เดินต่อไปได้ พยายามคิดว่าเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่นึกถึงเวลาและจุดมุ่งหมาย เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็นั่งพัก จากที่ท้องฟ้าสว่างเริ่มมืดลงทุกทีๆ เรี่ยวแรงเริ่มอ่อนลงก้าวเท้าต่อโดยไม่มีความรู้สึก ชาไปทุกส่วน ทางเริ่มชันมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความมืด ใช้ไฟฉายช่วยส่องทาง ต้องปีนป่ายภูเขาด้วยสองมือสองเท้า บางจุดถึงกับต้องช่วยๆ กันฉุดกระชากลากดึงกันเลยทีเดียว แต่ในความเหนื่อยอ่อนล้านั้นมันปนไปด้วยความสนุกสนานกับการได้รู้จักกับเพื่อนร่วมทางใหม่ๆ ได้คอยช่วยเหลือกัน จนในที่สุดก็ปีนขึ้นมาบนยอดเขาสมอปูนได้ ด้านบนจะเป็นพื้นที่ป่าโล่งๆ สลับกับทุ่งหญ้า มันเป็นยอดเขาที่มีพื้นที่กว้างมาก แต่เนื่องจากมืดมากเลยมองอะไรไม่ค่อยชัด เราเดินต่อไปสักครึ่งชั่วโมงก็หยุดพักต้มบะหมี่แห้งและดื่มชากาแฟกัน
พอกินเสร็จก็นอนบนโขดหินดูดวงจันทร์และดวงดาวที่ส่องสกาวอยู่บนท้องฟ้า มันช่างเป็นภาพที่สวยงามมาก พอได้กินก็เริ่มมีกำลังเดินต่อ เราก็เดินเลียบผาผ่านทุ่งหญ้าไปเรื่อยๆ มองเห็นแสงไฟหลากสีจากเมืองบนพื้นดินข้างล่าง ก็สวยงามไม่แพ้แสงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้าเลย ประมาณ ๒ ชั่วโมงเราก็ถึงที่พักแรมเป็นลักษณะป่าโปร่งมีลำธารอยู่ใกล้ๆ สวยงามมาก ประมาณเที่ยงคืนเราก็จัดที่นอนเสร็จพร้อมกับก่อกองไฟเพื่อให้ความสว่าง ความอบอุ่นและป้องกันสัตว์ป่าเข้ามาใกล้บริเวณที่พัก
คืนแรกหลับสนิทไปพร้อมกับความเหนื่อยล้า ตื่นเช้ามาอากาศเย็นสบายมากๆ มีหมอกเล็กน้อย เห็นทัศนียภาพทั้งหมดได้อย่างชัดเจน รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในความฝันเลย เพราะมันสวยงามเกินกว่าภาพในจินตนาการมาก รู้สึกมีความสุขทั้งกายและใจ เราแบ่งเวรกันทำอาหาร เฝ้าเวรยามตอนกลางคืน และ ที่สำคัญการอาบน้ำ ปัสสาวะ อุจจาระ มันเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมาก เนื่องจากเราต้องทำภารกิจเหล่านี้ในป่าไม่มีอะไรมาปิดบังให้มิดชิดเหมือนกับห้องน้ำปกติ ตอนแรกอายมากเพราะเราอยู่ที่นั่นกันหลายคน แต่วันหลังๆ ก็เริ่มชินกลายเป็นเรื่องปกติไปเลย ช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาสมอปูนนั้นได้เรียนรู้ และได้ประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมมากมายซึ่งไม่อาจจะบรรยายให้ใครฟังได้หมด แต่พอสรุปให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้
-ได้รู้จักและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนร่วมทางใหม่ๆ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และวัยเดียวกัน
-ได้ฝึกความมุ่งมั่นและอดทนเพื่อให้ไปถึงยังจุดหมายปลายทางอย่างมั่นคง
-เส้นทางที่ต้องเดินเท้าไปนั้นลำบากมากมีทั้งทางราบ ทางชัน ห้วย หนอง คลอง บึง ซึ่งเราต้องมีความสามัคคีช่วยเหลือประคับประคองกันไป จึงจะถึงจุดหมายได้
-ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในป่าและทำความรู้จักกับป่าที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริงด้วยความเคารพซึ่งกัน และกัน
-ได้สัมผัสและซึมซับกับบรรยากาศที่งดงามและอากาศที่บริสุทธิ์
-ได้ฝึกก่อกองไฟและทำอาหารชนิดต่างๆ
-ได้เห็นต้นสมุนไพรและดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่อยู่ในป่าเพิ่มมากขึ้น เช่น กระวาน กำลังเสือโคร่ง ดอกดุสิตา
-ได้รับความสุขและมิตรภาพจากป่าและผู้ร่วมทางทุกคน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของสิ่งที่ได้รับจากการเดินทางในครั้งนี้เท่านั้น ยังมีความรู้สึกอีกหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือและคำพูดได้ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตนเองจึงจะรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นได้ ในโอกาสนี้ขอขอบพระคุณหน่วยงานและบุคคลที่สนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องให้มีการจัดการเดินป่าครั้งนี้ขึ้นซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ร่วมเดินทางเป็นอย่างมาก “ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่พึ่งพาอาศัยกันและกันระหว่างมนุษย์กับป่า ให้มนุษย์ได้รู้จักเคารพและใช้ประโยชน์จากป่าโดยให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด และที่สำคัญคือให้เรารู้จักอนุรักษ์ป่าไม้ บ้านเกิดแห่งบรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งหลายให้คงอยู่สืบไป”
“ไม่มีมนุษย์ ป่าอยู่ได้ ไม่มีป่า มนุษย์อยู่ไม่ได้”
นายนที อ้นดำ (สายชล)
นิสิตชั้นปีที่ 3
คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา
ธรรมชาติคือมารดาแห่งสรรพสิ่ง