สำหรับทริปเดินป่าสมอปูนที่เขาใหญ่ปี ๒๕๕๖ ครั้งนี้ สาเหตุที่ไปร่วมทริปก็เพราะท้าเพื่อนไว้ ถ้าเพื่อนไปฉันจะไป ก็ในเมื่อเพื่อนไป ฉันเลยต้องไป(สาเหตุที่ท้าไว้ เพราะอยากมีกิจกรรมร่วมกับเพื่อนสาวคนนี้ เพราะปกติไม่ค่อยออกไปไหน) ถามว่าใจฉันเองตอนแรกพร้อมไหม ไม่พร้อมเลย ไปร่วมทริปแบบงงๆ ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าไปไหน ไปอย่างไร เดินไกลเท่าไหร่ เส้นทางเป็นอย่างไร ใครไปบ้างก็ไม่รู้ ไม่ทราบรายละเอียดอะไรเลย รู้แค่ว่าไปเดินป่าเขาใหญ่ ๔ วัน เอาว่าแค่วันที่ออกเดินทางวันไหนยังไม่รู้ ก็ประมาณว่าตามๆ กันไป
เริ่มแรกก็ที่กระเป๋าจัดสดตอนกลางคืนก่อนไปเดินป่า ใบก็เล็กเหลือเกินเก็บของแค่ของส่วนตัวยังยัดไม่หมด ก็เอาออกไปบ้างแบบพอควร ของส่วนกลางก็แทบไม่ได้ใส่อะไร โชคดีหน่อยที่พี่ฝั่งปราจีนให้ขนพวกยาก็เบาหน่อย ยัดซ้ายขวาได้ แต่ถุงนอนส่วนตัว ก็ไม่มี -เลยม้วนผ้าห่มใส่ถุงแยกไป มัดกับกระเป๋าเริ่มแรกขึ้นรถก็หลุดแล้ว พอถึงปากทางเข้าที่หลักกิโลเมตรที่ ๑๔ เริ่มเดินแรกๆ พอประคองได้ทุกอย่างโอเค แต่สีหน้าคือ เพลียๆ มาหลายวัน นอนไม่เต็มอิ่ม แต่ถือคติว่าคนอื่นไปได้เราก็ไปได้ ก็ฟันฝ่ากันไป เส้นทางก็ค่อนข้างโหดดี แรกๆ พอมีคนมาถามว่าช่วยถือนู่นนี่ไหม แรกๆ ก็ตอบว่าไม่เป็นไรค่ะ ก็ด้วยความเกรงใจ มีอยู่ช่วงเส้นทางจังหวะนึง มีพี่คนหนึ่ง(พี่บิว)พูดว่า”ส่งของในมือมาให้ผม” ก็ไม่รีรอ ส่งไปให้โดยไม่คิดอะไรเลย ณ ตอนนั้นคือเหนื่อยมาก ชีวิตไม่เคยเจอ ร้องโวยวาย บ่นนู่นนี่นั่น ถ้าคนที่รู้จักกันมาก่อนจะรู้ว่าบ่นๆ ไปงั้นแหละ แต่ก็ทำได้อยู่ สู้ไม่ถอยเหมือนกัน ^_^ เมื่อถึงคลองต้มกาแฟก็พักกันสักพักใหญ่ ก็ได้พบปะกับฝั่งโคราช แรกๆ ก็ตกใจ โห เยอะจัง ดูท่าทางแบบคล่องแคล่วกันทั้งนั้น ซึ่งตรงข้ามกับสภาพร่างกายและจิตใจของฉัน ณ ตอนนั้นมาก เมื่อเริ่มเดินต่อจะพบกับทางที่โหดมาก ทั้งทางชัน ทั้งไผ่ ทั้งหนาม อีกอย่างแหม–ดันเป็นผู้โชคดี ๔ คนที่พี่เขาเรียกให้กลับลงมา ครั้นจะไม่ลงมาก็ไม่ได้ เพราะข้างหน้าก็ไปไกลแล้วจะไปต่อ
แบบสุ่มๆ ก็ไม่น่าจะโอเค ต้องถอยทัพกันลงมาแบบก็ไม่เคยลงเขาชันขนาดนี้ ตัวอย่างที่เขาทำกันก็ไม่รู้ไม่เคยเห็น ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวร่วง แต่ก็สไลด์ๆ ลงมาจนได้ แล้วก็เจอกับอาจารย์นพ จำได้คำพูดอาจารย์คือปลอบขวัญมาก แบบว่ายังไงเขาก็ไม่ทิ้งพวกเราไว้กลางป่า กำลังใจเริ่มมา ^_^ คือ ๔ สาวอ่ะ โห อยู่ยอดๆ เขา แล้วลงมาแบบมองไม่เห็นใคร แต่ก็ต้องลง แล้วก็ข้ามน้ำตกนิดนึงเพื่อเดินต่อ โฮก … พอถึงสันเขาทางก็เริ่มมืด ไฟฉายอันริบหรี่ของฉันก็เบาบาง แบบคนไม่เคยอ่ะ ไม่รู้ว่าสิ่งของที่เตรียมอะไรจำเป็นมากแค่ไหนยังไง พอมีไฟดวงไฟแบบเล็กๆ ดีหน่อยแสงจันทร์สว่าง โชคดีอีกชั้นตรงที่เดินตามน้องผู้ชายคนนึง(มารู้ทีหลังว่าเป็นน้องโอ ปี ๑ มมส. เพราะจำกระเป๋าได้) คือ
น้องช่วยได้เยอะมาก ทางก็มืด พื้นไม่เสมอ หลุมบ้าง แฉะบ้าง หนามบ้าง โขดหินบ้าง คือ น้องหันมาดูแล หันมาช่วยเหลือตลอด ใจฉัน ณ จุดนั้นไม่อยากเดินต่อแล้ว เหนื่อย ง่วง เพลีย ดูหนทางอีกไกลมาก แต่ก็ยังมีคนลากๆ ไป พอได้พักก็ตรงที่กินมาม่ากัน มื้อเย็นวันแรกที่เดิน ก็ไม่เคยกินมาม่าคลุกข้าว คลุกปลากระป๋อง คือเอามันมาปนๆ กันเพื่อให้ดูเยอะ แล้วกินๆ เข้าไปจะได้อิ่ม ไม่งั้นก็น้อยเหลือเกิน พลังงานอาจจะหมดได้ อื้ม รสชาติก็ดี แปลกดี แต่บรรยากาศนี่ดีมากๆ นอนพักท่ามกลางแสงจันทร์ ลมพัดเบาๆ ไอเย็นๆ รู้สึกสบายใจ แล้วก็เดินต่อไปอีกเพื่อไปยังที่พัก ขณะเดินมักจะก้มหน้าเสมอเพราะกลัวว่าจะตกหลุม เดี๋ยวขาแพลง กลัวเดินล้ม กลัวสะดุด ก้มหน้าเดินตลอดไม่ค่อยจะได้เงยหน้า พอเงยหน้าขึ้นมามองไปไกลๆ คือทิวทัศน์สวยมาก ต้นไม้ต้นสูง ต้นเดี่ยวๆ สะท้อนแสงจันทร์ทำให้เราเห็นเป็นสีดำๆ พื้นหลังเป็นท้องฟ้าสีเข้มตัดขอบ มุมดีมาก เห็นอย่างนี้ปลื้มเลย แต่เท่านั้นแหละ วืด ตกหลุมพร้อมกับล้มทันที ข้อเท้าพลิกแต่พยุงตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะคนอีกหลายคนเดินตามอยู่ข้างหลัง จะช้าไม่ได้ เมื่อถึงที่พักก็เกิดความตกใจอีกชั้นหนึ่ง คือ น้ำที่อาบ เป็นน้ำจากลำธาร น้ำไหลแบบเบาๆ มืดๆ ไม่เห็นอะไร น้ำที่ดื่มที่ใช้ก็
จากลำธารเดียวกัน การทำอาหารก็เป็นแบบใช้ฟืน มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามด้วย แปลกดี ไม่เคยสัมผัสชีวิตแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็ มาถึงจุดนี้ ไม่มีให้เลือกจ้า เรียกได้ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ทำตามที่คนอื่นเขาทำกันไป แม้จะขัดกับความคิดอยู่บ้างแต่ก็ต้องมีการปรับตัวให้อยู่รอด การเรียนรู้ชีวิตที่สมอปูนค่อนข้างที่จะสอนหลายๆ อย่าง ให้กับตัวฉัน ฉันรู้สึกได้รับความห่วงใยจากคนรอบข้าง ความห่วงใยที่จริงใจไม่เสแสร้งเหมือนโลกปัจจุบัน การช่วยเหลือกันโดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน เพราะเมื่ออยู่บนนั้นทุกคนต่างก็มีเท่าๆ กัน เห็นใครทำอะไรเราก็สามารถช่วยเขาได้ เห็นถึงน้ำใจของคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน คนดีๆ ที่มีอยู่ในสังคมไทยจริงๆ คนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อในสารฉบับนี้ ทุกคนก็ล้วนมีน้ำใจกับฉันในทุกๆ เรื่อง
การใช้ชีวิตกับธรรมชาติที่สมอปูน การอาบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ การทำอาหารจากฟืนไฟ การหุงข้าวกับหม้อสนามที่ก็เพิ่งจะได้สัมผัสและรู้จักการใช้งานมันจริงๆ การเข้าห้องน้ำในรูปแบบธรรมชาติ ทุกครั้งที่ไปปล่อยมันคือความท้าทายและความตื่นเต้นที่ว่า คนอื่นจะมาไหม จะเห็นไหม ฮ่าๆ ตลกดี การเดินป่าสมอปูนครั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนที่สอนการใช้ชีวิตที่ล้ำค่ามาก ให้ทั้งประสบการณ์และความสนุกปะปนความทุกข์ ความเหนื่อย ความลำบาก แต่ความรู้สึกสุดท้ายคือ “รู้สึกดีใจที่ได้ไปถึงสมอปูน ที่นั่นไม่ได้มีเพียงธรรมชาติที่ดีและบรรยากาศที่ดี แต่ยังมีคนที่ดีอยู่รอบกายเรา ขอบคุณสำหรับทริปนี้ และคนที่ทายกันไว้ว่าคราวหน้าฉันไม่ไป บางทีคุณอาจทายผิดก็ได้นะ… เพราะบุคคลที่ร่วมทริปนี้เป็นบุคคลที่ฉันยังอยากจะพบปะอีกสักครั้ง”
ปัญจรัตน์ รอดทิม
นิสิตปี 3 แพทย์แผนไทย