สมอปูน ดินแดนที่มีแต่หินจริงหรือ?

samorpoon 56 -  (379)         สมอปูน ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้ ก็จินตนาการไปว่า ต้องเป็นสถานที่ ที่มีแต่หิน “อาจมีลูกสมอมากมายตามภูเขา หากมีต้นไม้คงเป็นต้นไม้สูงใหญ่เรียงตัวสวยงามตามแบบภาพยนตร์ทางแถบตะวันตก การเดินป่าก็คงสุขสบาย เดินเรื่อยๆ มองดูต้นไม้ ชมนก ชมดอกไม้ พอถึงเวลาก็นั่งดูพระอาทิตย์ยามเย็นตก”  แต่จริงๆ แล้วนั้นมันช่างแตกต่างจากสิ่งที่ได้นึกคิดเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการผจญภัยในป่าครั้งแรก
กลางดึกคืนหนึ่ง มีข้อความทาง Facebook จาก พี่หวาน (พี่ผู้ชายตาหวานๆ หน้าก็หวานแต่นิสัยแมนมากๆ ) ทักมาชวนไปเดินป่าที่ สมอปูน วันที่ ๑๙ – ๒๒ ต.ค. ตอนนั้นตัวเราเองก็อยากไปมาก เพราะเห็นว่าเป็นช่วงปิดเทอมพอดี และโอกาสอย่างนี้คงหาได้ยาก จึงลองชวนเพื่อนอีก ๓ คนให้ไปด้วยกัน คือ สายชล ปิ๋ม และปรางทิพย์ เมื่อได้เหล่าสมาชิกไปเดินป่าแล้วจึงรีบแจ้งทางพี่หวานว่า “ไปเดินป่าด้วย”  ทางพี่หวานก็ได้ดึงเข้ากลุ่ม Trip ใน Facebook เพื่อจะได้รับทราบข่าว,กำหนดการต่างๆ และการจัดเตรียมสิ่งของสัมภาระ ที่ต้องจัดเตรียมไป ได้แก่ เสื้อผ้า อาหารแห้ง จาน ชาม เป็นต้นsamorpoon 56 -  (2)
samorpoon 56 -  (6)      วันที่ ๑๘ ต.ค. พี่หวานนัดรวมพลฝั่งปราจีนบุรี ที่วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยฯ เพื่อจะได้มาช่วยกันเตรียมของกองกลาง ไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ เนื้อ เอามารวน ผักสด อาหารแห้ง น้ำเปล่า  และช่วยกันจัดแบ่งใส่ถุงสุญญากาศมากที่สุด ขณะนั้นเหล่านักร่วมเดินทางต่างๆ ที่อยู่ใกล้ปราจีนบุรี ก็เริ่มทยอยกันมาถึงที่วิทยาลัยประมาณ ๒๐ กว่าคนและช่วยกันเตรียมของ ตกดึกทุกคนจึงรีบพักผ่อนเพราะต้องเดินทางแต่เช้า ตัวเราเองก็รีบเก็บของใส่กระเป๋า และเว้นที่ใส่ของกองกลางอีกแค่ส่วนเดียว เพราะคิดว่าคงไม่เยอะมาก

วันที่ ๑๙ ต.ค. ในช่วงตอนเช้าประมาณ ๖ โมงเช้า เราก็รีบอาบน้ำแต่งตัวลากกระเป๋าที่หนักพอตัว ลงมาวางข้างล่างใต้หอแล้วก็เริ่มนำของกองกลางลงกระเป๋า แต่ก็บรรจุได้ไม่มากเพราะกระเป๋าค่อนข้างใบเล็กเมื่อเทียบกับของคนที่เคยเดินป่า พอได้เห็นกระเป๋าใบใหญ่ๆ  ที่นักเดินทางต่างนำมาแล้วรู้สึกได้เลยว่ากระเป๋าของตัวเองใบเล็ก แต่ในขณะเดียวกันคนที่นำกระเป๋าใบใหญ่มาก็แทบปาดเหงื่อเลย เพราะของกองกลางที่เหลือทั้งหมดจะต้องอัดลงไปในกระเป๋าของตนที่มีขนาดใหญ่กว่า   เราเองก็แอบสงสารนะ แต่เท่าที่ต้องแบกอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกว่า หลังแทบหักแล้ว หลังจากนั้นก็รอให้รถโรงพยาบาลเจ้าพระยาฯ ไปส่งที่สมอsamorpoon 56 -  (11)ปูน ในระหว่างที่รอ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่เคยเดินป่าก็แนะนำเรื่องการเดินป่าต่างๆ เช่น ให้ทับเสื้อในกางเกง ปิดทุกส่วนให้มิดชิด ป้องกันแมลง ทาก หรือเห็บป่าเข้าร่างกาย, เวลาเดินป่าอย่าพยายามถือของไว้ในมือ เพราะเราอาจต้องใช้ทั้งสองมือช่วยเดิน เป็นต้น  หลังจากรอได้ซักพัก รถก็มารับ โดยแบ่งเป็นสองรอบ เมื่อรถนำไปส่งถึงเขาใหญ่ เจ้าหน้าที่เขาใหญ่ก็ได้ทำการวัดความดันและลงชื่อ ก่อนเดินทาง เราเองตอนนั้นรู้สึกเหมือนจะป่วยคงเป็นเพราะคืนก่อนมาพักผ่อนน้อยเพราะตื่นเต้น ทำให้นอนไม่หลับ เมื่อตรวจเสร็จก็ให้รถไปส่งทางปากทางเข้า กม.๑๔ โดยมีผู้นำคือ พี่หวานและโต๋  เดินนำทางโดยแนะให้เดินห่างกันคนละ ๑ เมตร เพื่อป้องกันไม้ดีดโดนหน้าคนตามด้านหลัง จุดมุ่งหมายแรกที่จะต้องไปรวมกันนั่นคือ “คลองต้มกาแฟ” เส้นทางเป็นเส้นทางเรียบๆ ไม่ชัน แต่ค่อนข้างแคบ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มทั้งสองข้าง มีเสียงน้ำตกให้ได้ยินเป็นช่วงๆ เราเดินไปเรื่อยๆ ก็ยังรู้สึกสนุกมาก ได้ออกแรง แต่กระเป๋าเจ้ากรรมทำไมมันช่างหนักเสียนี่กระไร ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่ามันหนักขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยพูดกับเพื่อนระหว่างทาง ก็ยิ่งเงียบลงๆ เพราะมันทั้งsamorpoon 56 -  (22)เหนื่อย และหนักมากจนไม่อยากที่จะพูด น้ำก็พยายามจะไม่ดื่มเยอะเพราะยังไม่อยากปวดปัสสาวะระหว่างทาง แต่ก็ยังไม่ท้อ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป เดินไปเรื่อยๆ ก็มีโอกาสได้เจอสัตว์ป่าตัวแรก นั่นคือ “งูเขียวหางไหม้” กำลังขดตัวนอนสบายอยู่ใต้ตอไม้เก่า สีสันของมันช่างสดใสมากเลย เห็นแล้วอยากลองเอามือไปลูบดูว่าสีของมันจะหลุดลอกติดมือมาหรือเปล่า เราเดินต่อไปอีก จนไม่แน่ใจแล้วว่าเดินมาไกลเท่าไหร่แล้วก็มาถึง คลองต้มกาแฟ เหล่าพี่ๆ ก็เตรียมก่อกองไฟเพื่อต้มน้ำ ชงกาแฟ และปล่อยให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ดื่มน้ำ เติมน้ำ ตามแต่ละคนจะสะดวก ช่วงที่มาถึงคลองต้มกาแฟก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงพอดี ทุกคนก็รับประทานอาหารร่วมกัน มื้อเที่ยงของวันนี้ก็คือ ข้าวสวย คนละ ๑ ถุง กับ ไก่รวน เค็มๆ ช่างเป็นอาหารที่อร่อยมากในเวลานั้นเพราะเหนื่อยจากการเดินมาก และเป็นที่แรกที่ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ การเข้าสุขาครั้งแรกเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก มันทั้งกลัวว่าจะมีคนมาเห็นไหม ทั้งเครียดที่มันโล่งเกินไป กว่าจะได้ขับต้องเบ่งกันเลยที่เดียว อีกอย่างที่ได้ทำครั้งแรก ก็คือการดื่มน้ำในลำธารซึ่งเป็นน้ำไหล เราได้มีโอกาสรองน้ำจากลำธารไปดื่ม  แรกๆ ก็กลัวที่จะดื่มเพราะไม่รู้ว่ามีตัวอะไรบ้างอยู่ในน้ำ แต่มี คนพูดมาว่า sterile* กับ ตาย จะเอาแบบไหน-จึงดื่มเลย หลังจากนั้นก็นั่งรอกลุ่มนักเดินทางอีกส่วนที่มาจากปากช่อง ซึ่งได้ติดต่อมาว่ากำลังเดินเข้าป่าตามเรามา มีพี่บางส่วนเดินย้อนกลับไปช่วยกลุ่มใหม่แบกของเข้ามา(ความคิดตอนนั้น พวกพี่มีน้ำใจมาก) เมื่อกินข้าวเสร็จ อีกกลุ่มก็เดินทางมาถึงพอดีและกินข้าวพักผ่อนกันตามอัธยาศัยsamorpoon 56 -  (18)

หากลองสังเกตกลุ่มคนที่มาร่วมเดิน trip นี้แต่ละคนเป็นที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์กันมาก บางคนเป็นหมอ เป็นอาจารย์ บางคนเป็นนักแสดง บางคนบินตรงมาจากต่างประเทศเพื่อมาเดิน trip นี้ คิดแล้ว Trip นี้คงสำคัญจริงๆ คนหลายคนจึงอยากมามาก เมื่อพบปะพูดคุยกันพอรู้จักกันบ้างแล้ว ก็ต้องเดินทางต่อไป ซึ่งก่อนเดินทาง พี่อ๋อ(พี่ที่นำทางอีกคนและเป็นพี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ มาพร้อมกลุ่มปากช่อง) บอกไว้ว่า เส้นทางที่จะเดินต่อไปจะเพิ่ม ระดับความยากขึ้นมาอีก คือจะชันขึ้น จนต้องsamorpoon 56 -  (31)คลานสี่ขาเลยทีเดียว  ทำเอาเราเสียวสันหลังเลย เพราะแค่ที่เดินผ่านมานี่ก็เหนื่อยแล้วนะ เริ่มรู้สึกว่าน่าจะหมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ จะได้อึดกว่านี้ เวลาประมาณบ่ายสองโมง ก็แบ่งให้กลุ่มแรกที่มาถึงก่อนเดินนำไปก่อนนั่นก็คือกลุ่มเรานั่นเอง แค่เริ่มเดินเราก็เริ่มรู้แล้วว่าทางมันเริ่มชันขึ้นๆ แรกๆ ก็แค่ต้องปีนป่ายนิดหน่อย เดินต่อไป บางจุดถึงขนาดต้องมีพี่ที่คอยช่วยดึง มัดเชือก ให้ได้ปีนขึ้นไป ยิ่งเดินก็ต้องยิ่งก้มตัวขนานกับพื้น เพื่อให้เดินได้คล่องขึ้นและช่วยลดความหนักของของที่อยู่ที่หลัง ทางที่ขึ้นแรกๆ ก็เป็นป่าต้นไม้สูงรกๆ เดินไปได้ซักพัก ก็เปลี่ยนเป็นป่าไผ่ ซึ่งเป็นอะไรที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษเพราะที่ตัวไม้ไผ่จะมีขนแหลมๆอยู่โดยเฉพาะต้นอ่อนๆ ร่วมกับทางที่ชันเกือบ ๙๐ องศา ช่างเป็นเส้นทางที่ทรหดมาก บางที่ต้องsamorpoon 56 -  (30)ข้ามน้ำด้วย เดินไปเดินมาจากที่เดินกลุ่มแรกก็กลับกลายเป็นเดินกลุ่มรองสุดท้าย เพราะมีการเดินผิดเส้นทางจึงเสียเวลาต้องเดินย้อนกลับมาโดยกลุ่มที่ตามมาทีหลังได้เดินนำไปก่อนแล้ว เดินบ้างพักบ้าง ก็เดินมาถึงสันเขาพอดีก็ราวๆ ๕ โมงเย็น ทางเป็นทางตรงๆ เริ่มเดินง่ายขึ้น มีลมพัดเย็นชื่นใจกว่าในป่ามาก ทางซ้ายมือ พระจันทร์กำลังขึ้น สีส้มสวยมาก แทบอยากหยุดเวลาไว้เลย เดินมาตามสันเขา ฟ้าเริ่มมืดสนิท ก็ได้แวะพักจุดหนึ่ง เป็นจุด เป็นหน้าผา มองเห็นทิวทัศน์ข้างล่างได้อย่างชัดเจน ต้องบอกว่าแค่นี้ก็คุ้มแล้ว ไม่อยากเดินต่อเลย ด้วยความที่มันมืดแล้ว ข้างล่างต่างก็เปิดไฟกันทั่วบริเวณ มองไปทางไหนก็เห็นแสงเป็นแนวเส้น เป็นกลุ่มที่ถูกเปิดตามบ้านเรือน สวยมาก พี่อ๋อ บอกว่า ทางซ้ายมือ เป็นจังหวัดปราจีนบุรี ทางขวามือเป็นจังหวัดนครนายก เมื่อพักพอหายเหนื่อย พี่บางส่วนได้เดินย้อนกลับไปช่วยชุดหลังที่มี อาจารย์นพ(อาจารย์-อาวุโส เป็นบุคคลที่ทุกคนให้ความนับถือและให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง) เดินมาด้วย ส่วนเรากับอีกบางส่วนก็เริ่มหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเดินทางเพื่อเตรียมเดินทางต่อ เดินไปจนกระทั่งถึงจุดพักอีกจุด ก็มีกลุ่มที่เดินนำมาก่อนนั่งพักรออยู่แล้วsamorpoon 56 -  (37)

จุดที่นั่งพักนี้ก็คือ “สมอปูน เป็นลานกว้างๆ มีหินก้อนใหญ่มากมาย มีหญ้าขึ้นประปราย ไม่รกมาก แถมด้วยหนอนบุ้งตัวเล็กๆ ไต่เต็มโขดหิน มองแล้ว-น่ารักดี” ยิ่งดึกอากาศที่นี่ก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่ใส่เสื้อแขนยาวมาด้วยยังพอช่วยบรรเทาความหนาวได้บ้าง  วันนี้เป็นวันออกพรรษาพอดี พระจันทร์กำลังขึ้นเต็มดวงสวยเลยทีเดียว ดวงดาวก็มีไม่มาก ได้นั่งเอนหลังกับหินก้อนใหญ่ก้อนsamorpoon 56 -  (300)หนึ่งมีลมพัดเอื่อยๆ  ร่วมกับอากาศที่เย็นจากน้ำค้าง ยิ่งทำให้อยากหลับให้ได้เสียตรงนั้นเลย นั่งพูดคุยกับเพื่อนได้สักพัก กลุ่มแรกที่นำมาก็เดินนำไปหาที่ต้มน้ำกินมาม่าก่อน กลุ่มของอาจารย์นพที่ตามมาทีหลังก็ตามมาสมทบที่กลุ่มเราอีกที ทุกคนต่างนั่งพักตามจุดต่างๆ บ้างก็จับกลุ่มคุยกัน บ้างก็หาที่เอนหลังนอน บ้างก็นั่งกินขนม เราเองนั่งเหม่อมองฟ้าไปเรื่อยเปื่อย เมื่อคลายจากความเมื่อยล้าได้บ้างแล้ว จึงเดินตามไปรวมกลุ่มกับชุดแรก ที่เตรียมมาม่า และน้ำร้อนไว้ให้แล้ว เรานั่งกินมาม่ากันจนอิ่มทุกคน ก็เริ่มเดินทางต่อ คราวนี้ได้เดินไปพร้อมกันทั้งหมด ทางที่เดินไม่น่ากลัวเท่าไหร่แล้ว เป็นทางเรียบ มีหิน หญ้า และธารน้ำเล็กๆ ตลอดทาง ถ้าพูดถึงรองเท้าตอนนี้คงชุ่ม ซึมลึกไปจนถึงถุงเท้าข้างในแล้ว ปลายกางเกงก็เต็มไปด้วยโคลน เลอะเต็มไปหมด เริ่มรู้สึกว่ากระเป๋ามันหนักขึ้นกว่าเดิมทั้งๆ ที่ไม่ได้เอาอะไรมาเพิ่มเลย เดินได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงที่พัก เป็นลานไม่กว้างsamorpoon 56 -  (40)มาก มีต้นไม้สูงปานกลาง พอให้ได้ผูกเปลนอน และผูกหลังคากันน้ำค้างและฝน เพื่อนเราคนหนึ่งเตรียมเต็นท์มาจึงช่วยกันกางเต็นท์ และมีพี่อ้อยใจดีให้อยู่ใต้หลังคาผ้าใบของแก ผู้ชายบางส่วนหาฟืนก่อกองไฟ ส่วนคนอื่นๆ ก็จับจองพื้นที่ในการผูกเปล กางเต็นท์ และกางผ้าใบผืนใหญ่ ไว้ให้คนที่ไม่ได้เตรียมเต็นท์หรือเปลมา เมื่อเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จก็แบ่งกันไปอาบน้ำ ฟ้าค่อนข้างสว่างเลยไม่ต้องใช้ไฟฉาย เหมือนกับว่าได้อาบน้ำใต้แสงจันทร์ น้ำที่นั่นหนาวมาก จนตัวสั่น เมื่อเสร็จภารกิจก็รีบเข้านอน อากาศหนาวมากจนเท้ามันเย็น ยอมรับเลยว่าคืนนั้นนอนแทบไม่หลับ ร่วมกับพื้นใต้เต็นท์มีไม้ดันหลังอยู่ยิ่งทำให้หลับลำบากเข้าไปใหญ่
samorpoon 56 -  (46)เช้าวันใหม่ ที่ ๒๐ ต.ค. เรารู้สึกขี้เกียจนอนแล้วจึงตื่นออกมาดูบรรยากาศข้างนอก ก็เห็นพี่อ้อยกำลังเตรียมอาหารจึงเดินเข้าไปช่วยเตรียม เมื่อเตรียมอาหารได้เรียบร้อยแล้ว ก็มีพี่ๆ ปี ๔ แพทย์แผนไทยฯ มาช่วยทำอาหาร เรารับประทานอาหารกันเสร็จ ก็ได้พักผ่อนตามอัธยาศัย บางส่วนนอนเติมพลัง บางส่วนนั่งฟังพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราเองก็ไปเดินถ่ายรูปตามลำธาร ไม่นาน พี่อ๋อ ก็เรียกประชุมเพื่อแบ่งหน้าที่ โดยให้โต๋เป็นผู้แบ่ง เราแบ่งเวรเฝ้ากองไฟ ทำอาหาร ๒ มื้อ คือ สายและเย็น เราได้รับหน้าที่ให้ทำอาหารช่วงเช้าและเฝ้ากองไฟช่วง ตี ๔ – ๖ โมงเช้า และทำความรู้จักกันอย่างเกือบเป็นทางการ และช่วงเย็น พี่อ๋อ จะพาไปเดินดูลานหิน ดอกไม้ โดยเฉพาะ ดอกดุสิตา ช่วงบ่าย มีแอ่งน้ำแอ่งใหญ่คนที่พอเล่นน้ำได้ ๓–๔ คน อยู่ตรงลานหิน มีบางส่วนเดินไปเล่นน้ำ พวกเราเดินไปดูแอ่งน้ำ และถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ พร้อมดอกไม้ต่างๆ ที่อยู่บริเวณนั้น ตกเย็น พี่อ๋อ จึงพาเด็กๆ ไปเดินดูลานหินที่เดิมกับเมื่อตอนบ่าย แต่อากาศตอนเย็นค่อนข้างดีกว่าตอนบ่าย อากาศเย็นสบาย มีลมพัดอ่อยๆ ท้องฟ้าโปร่ง สีฟ้าสวย มีเมฆเป็นริ้วๆ มองแล้วสดชื่น พี่อ๋อ สาธิตให้พี่คนหนึ่งนั่งบนหิน มือทั้งสองข้างวางยันหินไว้ข้างลำตัว แล้วหลับตา หลังจากนั้นก็พูดกระซิบข้างหู เพื่อให้พี่รู้สึกคล้อยตาม ให้รู้สึกเหมือนหินมันนิ่ม จนเราสามารถกดมันได้ ผลที่ได้ก็ไม่มีอะไรเกิดsamorpoon 56 -  (102)ขึ้นนอกจากรู้สึกสบาย อาจเป็นเพราะกิจกรรมนี้ต้องใช้สมาธิมากๆ จึงจะเห็นผล หลังจากนั้น ก็นั่งรวมกลุ่มกัน ทำกิจกรรม บัดดี้ จับคู่ดูแลกัน โดยให้คู่ของเรา และเราหาดอกไม้หรืออะไรก็ได้ที่เราประทับใจและอยากให้คู่ของเราได้เห็นเช่นกัน คู่ของเราเลือกแมงมุมเกาะอยู่บนต้นไม้ มีสีสันกลมกลืนไปกับต้นไม้ ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น เหมือนกับความรู้สึกคน มันเป็นสิ่งเล็กๆ ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่รู้ ส่วนตัวเราเลือกดอกกระดุมเงิน ที่เรียงกันเป็นแถวยาว ที่เลือกให้เห็นเพราะมันสวยดี แค่อยากให้มองว่ามันสวย ไม่อยากให้คิดคำสวยหรูออกมาพูด samorpoon 56 -  (86)อยากให้ได้มองอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมีเหตุผลดีๆ ตลอดเวลามารองรับ หลังจากนั้น ก็เย็นมากแล้ว จึงปล่อยให้ได้พักกันตามปกติ เรานอนมองท้องฟ้าอยู่บนโขดหิน มีลมพัดเย็นๆ สบายมากๆ เลย อยากนอนอย่างนี้นานๆ ไม่นานเราก็เดินกลับไปที่พัก พี่ปี ๔ กลับมาทำอาหาร เย็นนั้นแอบมีอารมณ์แปลกๆ ด้วย เรารับประทานอาหารเสร็จก็จัดเก็บสถานที่ ล้างจาน แล้วก็รีบเข้านอน เพราะต้องตื่นมาเฝ้ากองไฟตอนตี ๔

samorpoon 56 -  (111)ตี ๔ ของวันที่ ๒๑ ต.ค. เราถูกปลุกให้ไปเฝ้ากองไฟต่อจากเวรเก่า ผู้ชายเป็นฝ่ายเฝ้ากองไฟ ส่วนเราเตรียมอาหารสำหรับมื้อสาย เช้านี้เราทำ ผัดคะน้าไก่ ไข่ชะอมทอด ผัดแตงกวา ปรุงน้ำพริกกะปิใหม่ ต้มจืดเต้าหู้ ผัดพริกแกงหน่อไม้ ช่วงที่ทำก็มีอะไรให้ได้ฮาหลายอย่างโดยเฉพาะ เพื่อนคนหนึ่งผัดพริกแกงแล้วใส่น้ำมันหอยเข้าไปด้วย ทำให้เพื่อนคนนั้นได้รับฉายาว่า“ปิ๋มน้ำมันหอย” เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เราก็เตรียมของสำหรับเดินทางไปน้ำตกคลองฟันปลาsamorpoon 56 -  (135)          มีเพียงอาจารย์และลูกศิษย์รุ่นๆ เราผู้ชาย บางคนที่ต้องอยู่ดูแลอาจารย์ แต่ทุกคนล้วนเต็มใจ เมื่อเริ่มเดินทาง เราเดินกันเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง ทางเดินค่อนข้างแคบ และเป็นคนละทางจากที่เคยเดินมา เส้นทางมักเดินเลียบไปกับลำธาร มีช่วงป่าไผ่ตลอดเส้นทาง ระยะทางน่าจะราวๆ ๕ กิโลเมตร เราหยุดเดินบ้าง ถ่ายรูปเล่นบ้าง ก็สนุกไปอีกแบบ เราได้เจอต้นไม้เยอะเลย ไม่ว่าจะเป็น เตยป่า หญ้าม้าน้ำ เปราะป่า ดอกอีเกลื้อน* (ไม่แน่ใจว่าชื่อนี้หรือเปล่า) เมื่อเดินมาถึงแทบไม่อยากเชื่อสายตา samorpoon 56 -  (142)น้ำตกกว้างพอประมาณทอดยาวไปสุดตา มีแอ่งน้ำให้เล่นหลายๆ แอ่ง น้ำไหลไม่แรงมากพอให้รู้สึกได้ผ่อนคลาย แต่ที่แน่ๆ เมื่อเข้าเขตน้ำตกนี้แล้วรู้สึกว่าเย็นมาก เรารีบเปลี่ยนชุดเพื่อไปเล่นน้ำ เราเดินลงไปหาแอ่งน้ำที่พอจะให้เราสามารถดำผุดดำว่ายได้อย่างสบาย ก็พบอยู่แอ่งหนึ่ง ลึกมาก เป็นร่องหินยาวๆ พอให้เราว่ายน้ำได้สบาย เราเล่นอยู่สักพักก็รู้สึกว่าหนาว จึงเดินกลับขึ้นไปที่เดิม และกินมาม่าและข้าวกับปลากระป๋องในชามเดียวกับเพื่อน ๔ คน ช่างเป็นอะไรที่อร่อยแท้ หลังจากนั้นเราก็ยืนตากแดดรอให้เสื้อผ้าแห้งบ้าง แล้วจึงเปลี่ยน เรานั่งมองบรรยากาศไปเรื่อยเปื่อย รอให้ทุกคนพร้อมsamorpoon 56 -  (218)เดินทางกลับไปยังที่พักเดิม เราก็ได้มีโอกาสสังเกตผีเสื้อที่นี่ ชอบตอมของเค็ม ที่เห็นก็คือ ตอมถุงเท้าที่แขวนอยู่ อาจเป็นเพราะต้องการแร่ธาตุ เรานั่งมองบรรยากาศไปเรื่อยๆ แอบมองรูปในกล้องตัวเองบ้างว่ามีรูปไหนไม่ชัดบ้าง มองดูผู้คนมากมายทำกิจกรรมต่างๆ ก็สบายอารมณ์ไปอีกแบบ เมื่อถึงเวลา ทุกคนก็เตรียมของเดินกลับ เราได้เดินไปชุดที่ ๒ มี พี่นิม(พี่กลุ่มรักษ์เขาใหญ่) เดินนำทาง คอยเล่าเรื่องต่างๆ ประสบการณ์การเดินป่า ดอกไม้ หญ้า ให้พวกเราฟัง บางครั้งก็ผลัดให้เราเป็นคนนำทาง ซึ่งผลก็คือ ให้พี่เค้านำคงจะถึงเร็วกว่า เมื่อเรามาถึงที่พักก็ไปอาบน้ำ คราวนี้เราไม่อยากไปอาบน้ำที่เดิมแล้ว เพราะมันค่อนข้างแคบsamorpoon 56 -  (233)และโล่ง จึงเดินหาที่อาบน้ำใหม่ ก็ไปเจอที่ๆ ที่หนึ่งเป็นแอ่งน้ำกว้างมากลึกระดับหน้าอก ห่างไกลจากผู้คน เรากับเพื่อนอีก ๒ คนตื่นเต้นมาก เพราะรู้สึกว่าวันนี้แหละคงจะได้อาบน้ำอย่างเต็มที่เสียที เราอาบน้ำพร้อมกัน ๓ คน เพราะที่อาบกว้างมาก มีเพื่อนคนหนึ่งแอบได้แผลถลอกมาเป็นที่ประทับก่อนกลับเพราะลื่นเอาศอกข้างซ้ายลงโขดหิน เราจัดการภารกิจจนเสร็จก็กลับไปที่พัก และรับประทานอาหาร ตกดึกก็ไปนั่งฟังเพลงที่มีกลุ่มนักดนตรีวัยรุ่น ตั้งวงกันอยู่เรานั่งฟังไปเรื่อยๆ ก็มีคนชวนไปดูดาว เราจึงตามไปแต่เดินไปได้ไม่ไกล ทางเริ่มแฉะจึงไม่ได้ไปต่อ โชคดีเจอพี่คนหนึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อแสน แนะนำให้ไปดูอีกที่หนึ่งซึ่งใกล้กว่าบนโขดหิน ตอนนั้นมีเรา มีเพื่อนเราหนึ่งคน และพี่ เรานั่งคุยเรื่องนู่นนี่นั่น ไปเรื่อย จนชุดที่ไปดูดาวกลับมาเราจึงกลับเข้าที่พักแล้วก็นอนsamorpoon 56 -  (253)
samorpoon 56 -  (80)เช้าวันที่ ๒๒ ต.ค. ตีสี่ เรายังคงตื่นมาเฝ้ายาม และทำอาหารตามเคย วันนี้เราต้องจัดการอาหารที่เหลือทั้งหมด เอามาทำอาหารเพื่อจะได้ไม่ต้องแบกลงไป เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว เราจะต้องเดินทางกลับ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็รีบจัดเก็บสัมภาระของตนและส่วนกลาง เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย อาจารย์นพ ก็เดินมาให้โอวาท ท่านสอนว่า “เราไม่สามารถสร้างป่าได้ ป่าเค้าต้องสร้างตนเอง” (อาจะจำได้ไม่หมด แต่ความหมายก็ประมาณว่า เราเข้ามาในที่ป่า เราก็ไม่ควรไปทำลายเค้า จงให้เกียรติเค้า เพราะเค้าได้ให้เกียรติเราแล้วให้เราได้เข้ามา ศึกษา เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่อาจหาได้ในเมืองที่เราเคยอยู่)

 

samorpoon 56 -  (350)หลังจากนั้นก็ถึงเวลาทำพิธีสุดท้าย นั่นก็คือ อำลากองไฟ โดยให้เด็กที่ยังไม่เคยทำกิจกรรมนี้ยืนล้อมรอบกองไฟและหลับตา หลังจากนั้นก็พูดอะไรเรื่อยๆ ให้เด็กๆ ได้ฟัง ว่าพิธีนี้ศักดิ์สิทธิ์มากหากลืมทำจะต้องเดินขึ้นมาทำใหม่ หลังจากพูดไม่นาน ก็ได้ยินเสียง ฟู่! และมีกลุ่มควันสีเทากระจาย พวยพุ่งขึ้นมา เมื่อลืมตาก็พบว่าทุกคนหัวสีขาวจากควันเต็มไปหมด หลังจากนั้นก็เก็บสัมภาระเพิ่ม เติมอีกนิดหน่อยแล้วจึงเดินทางกลับ ช่วงการเดินทางกลับ เป็นช่วงที่ทรหดมากกว่าขาขึ้น เนื่องจากทางที่ค่อนข้างชัน ลื่น และ เดินตามแรงโน้มถ่วงทำให้ต้องระวังมากกว่าขาขึ้น เพราะจะลื่นล้มได้ง่าย แต่การเดินลงใช้เวลาในการเดินค่อนข้างเร็ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงคลองต้มกาแฟเรานั่งพักรอทุกคนมาพร้อมกันและแวะกินข้าวและมาม่าที่เหลือ หลังจากพักจนหายเพนื่อยแล้วก็เดินทางต่อ เราเดินอีกประมาณชั่วโมง กว่าๆ ถึงทางออกจากป่า

samorpoon 56 -  (378)“ยอมรับเลยว่าการเดินป่าครั้งนี้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ทั้งแบกของที่หนักมาก เส้นทางที่ไม่ได้ราบเรียบ เหมือนพื้นถนน มันทำให้ยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ถ้าถามว่าท้อไหม คงตอบได้เต็มปากว่าไม่ ป่าสมอปูนไม่ใช่สถานที่ที่มีแต่หิน ยังมีอะไรอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นธรรมชาติที่ได้สร้างสรรค์มาให้เราได้เห็น ตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งแปลกใหม่ที่ในชีวิตชาวเมืองอย่างเราคงไม่มีโอกาสได้พบเจอ ความสัมพันธ์ของคนแต่ละคน การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความรู้สึกที่คงหาได้ยากมากหากไม่ได้มา trip นี้ ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ให้โอกาส ได้ไปเยือนสมอปูน”
นางสาว ปิยวรรณ ไชยผล
นิสิตคณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร

 

* sterile  adj. ปราศจากเชื้อ, ปราศจากเชื้อจุลินทรีย์

*ดอกอีเกลื้อน หมายถึง ดอกขี้กาก

One thought on “สมอปูน ดินแดนที่มีแต่หินจริงหรือ?

  1. หญ้าขี้กราก-หญ้ากระเทียม หญ้าบัว กระถินนา กระถินทุ่ง yellow-eyed grass
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Xyris Indica L.