ป.ล. ก่อนอ่านช่วยทำตาแบ๊วด้วยนะ..เตงงงงง..
มีดพร้า กล้วยน้ำว้า น้ำป่า และราดหน้า… (มีอะไรสระ อา อีกมั้ยน๊า??)
…กล้วยน้ำว้าสามหวี ม่าคัพสามโหล แฟถ้วยแพ็คนึง (งงตั้งแต่บรรทัดแรก…มาม่าเรียกเป็นคัพแต่กาแฟเรียกเป็นถ้วย ม่ายเข้าใจอ่ะ..) มีดพร้างามๆ อีกสามเล่ม และขนมนมเนยอื่นๆ อีกให้กินอีก…บ่องตง..เย๊อะ!
ที่ว่ามาเป็นแค่ไรที่..เอิ่ม..พระอาจารย์แดงโยนให้ตอนเราไปกราบขออนุญาตเดินป่าไป “น้ำตกผาด่านช้าง” ที่เราไปกันชิลๆ บับว่า.. ไปเดินเก็บผักหลังบ้าน ตามทางเดินก็มีผักให้เก็บเยอะด้วยอ่ะดิ อย่างมะเขือพวงเงี้ยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาจารย์ป้ามอร์ของเด็กๆ กันเลยทีเดียว (เอ…ป้าแกมีวีรกรรมอะไรกับมะเขือพวงน้อ..สงสัยจุง…)
ครั้งนี้เราจะได้เข้าป่าสามวันชะป่ะ? ก้อเริ่มเดินวันที่ ๑๐ กลับวันที่ ๑๒ สิงหา… หนีแม่มาอีกแระ พอเห็นว่ามีเวลาเยอะเลยออกเดินกันซะเที่ยงกว่า (คือว่า..เอ่อ..คืนก่อนก็นอนกันดึกอ่ะนะเพราะไปร่วมแสดงความยินดีในวันแต่งงานพี่อ๋อ..ข้ออ้างชัดเรย..) สมาชิกมีสี่สาวรุ่นฮอร์โมนทั้งน้าน มี ’จารย์ป้ามอร์ ‘จารย์พี่ต่าย (รุ่นนี้ฮอร์โมนวัยทอง) น้องหนุ่ยชบาแก้ว และ น้องติ๋วหลิว ห้อมล้อมมาด้วยเจ็ดหนุ่ม ‘จารย์ปู่นพ ‘จารย์พี่แขกเจ้าศาสตร์มืด พี่อุ๊ พี่คิง พี่อั้ม โต๋ และเสือแสน ก้อเดินกันฟินๆ กับคนคุ้นหน้าไปตามทางป่าที่คุ้นเคย (อืม..กับคนคุ้นหน้า ทางป่าคุ้นเคย..อุ๊ย! สำนวนเค้าใช้ได้ป่ะ?..) ป่ากลางฤดูฝนเขียวปี๋แต่อบอ้าวไป นีสนุง น้องชบาแก้วใช้งวงทึ้งกอไม้กินเล่นตามทาง เล่นเอาพี่คิงไม่กล้าเดินใกล้เพราะเคยโดนเรียกมาแล้วใช้งวงตบหัวมาแล้วโทษฐานกวนบาทา ส่วน ’จารย์พี่ต่ายก็เดินถามโน่นไรหราา..นี่ไรค๊าา…เหมือนเด็กกำลังเรียนรู้ นี่แหละเขาถึงว่าการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด..แต่คนถูกถามอ่ะ..ปวดหัว..ไรแว๊..
พอถึงจุดพักแรม ก็ต่างแยกย้ายกันดูแลที่พัก ฟืนไฟ น้ำท่า และเอิ่ม…กับข้าว..ที่พุดยากก็เพราะไม่เห็นเงาพ่อครัวแม่ครัวเลยซ้ากกคนเหมือนนัดกันไม่มา เจ๊แนทหวานใจป๋าแขกก็ไม่มา พี่นิมก็ลงใต้ไปแล้ว พี่เก่งมาด้วยกันแท้ๆ แต่ลูกป่วยรีบกลับ แล้วแบบว่า..สถานการณ์ก็สร้างวีรสตรีอ่ะนะ ก้อหูย..ติ๋ว หลิวยึดอำนาจหน้ากองไฟซะไม่มีใครกล้าค้านเรย (ดูลีลาการพูดในสภา เอ๊ย! ในกลุ่มอ่ะ ยิงแต่ละหมัด มีสะอึก) โดยมีหนุ่ยเป็นมือขวา ‘จารย์ป้า ทั้งสองเป็นลูกมือและโต๋เต๋เป็นเรี่ยวแรงช่วยผ่าฟืนบ้างไรบ้าง เคล็ดลับของอาหารมื้อนี้เลยเป็น. ความมืดและความหิว..ไม่รู้อัลไลเป็นอัลไลตักได้ก็..กิน…
….เสียงเพลงยามค่ำคืนก็ยังทำให้คนฟังนั่งตาวิ้งๆ ได้เหมือนเดิม…ฮ้า..เพราะจุง...
เรื่องซื้อตั๋วนั่งดูนกเงือกริมหน้าผาเหมือนเคยอ่ะหรา มะอาวหร็อก..ก้อ..น้ำในลำธารเชี่ยวอ่ะ ใครจะเดินไปนั่งชมวิวล่ะ..น่ากัว.. อีกอย่างคือว่าก็ตั้งใจจะลงไปใต้หน้าผานี้อยู่แล้วนะเพราะดูจากบนหน้าผามานานหลายปี แต่ธรรมชาติคือความไม่แน่นอน…แว๊..
ฝนตั้งเค้ามืด มาทางหัวเขาต้นน้ำแต่เช้า เรากินข้าวแล้วช่วยกันเก็บข้าวของให้พ้นฝน เห็งเงี้ยพวกหนุ่มน้อยแต่ตัวไม่น้อยทั้งหลายยังมีกะใจลงไปเล่นน้ำกันแถวริมผาพร้อมอุปกรณ์เล่นน้ำชนิดแบน แอ่งน้ำ “เอวาซอง” ริมผาเค้าบรรยายไว้หลายครั้งแว้วชะป่ะว่างามฝุดๆ เล่นน้ำไปชมวิวไป รีสอร์ทแพงคอดๆ ที่ไหนก็ไม่มีเหมือนเรา มาครั้งนี้ พี่คิง มันตั้งชื่อไทยให้ซะเพราะพริ้งว่า “หนองใน” หืม..เจ็บป่ะล่ะ?
พี่อั้มไปถึงก็วางผ้าขะม้ากะอุปกรณ์อาบน้ำไว้ที่โขดหินริมน้ำก่อนจะเปลี่ยนใจวางไว้สูงกว่าเดิม (โหว..พวกเว่วสูง..) ฝนตกหนักบ้างเบาบ้างให้ชื่นใจ แต่ก็ต้องคอยดูน้ำด้วยน๊า.. แรงไปป่ะขุ่นขึ้นป่ะไรเงี้ย.. หยั่มมา .. พอเห็นว่ากระแสน้ำแรงกว่าเดิมก็ชวนกันขึ้นดิ ต้องรีบเก็บเสื้อผ้าหม้อไหที่ล้างคว่ำไว้ริมน้ำ แล้วก็รู้ว่าคิดถูกเรย พอเผลอแพล๊บเดียะ ธารน้ำที่เดิมไหลแบ็บน่าร๊อคๆ เงี้ย หูย..เปลี่ยนเป็น แรงมั่กๆ น้ำใสๆ ก็แดงขุ่นยังกะชาชักแน่ะ พวกเรายืนเรียงแถวหน้ากระดานตรงริมน้ำดูไรที่ไม่เคยพบเจอแต่ก็ต้องคอยระวังตัวอะไรที่น้ำจะพัดให้โซเซมาหาเราด้วย ขนาดพี่คิงแกกำลังร้อนวิชาถ่ายภาพชะม้า.. ยังตะลึงจนลืมหยิบกล้องเลย
แผนการปีนลงหน้าผาที่ตั้งไว้เลยงดก่อน ตะก็โอนะ เพราะเมื่อลงผาด่านช้างไม่ได้เราก็รอให้น้ำเบาลงนีสพอเดินลุยได้ จัดแบ่งทีมเล็กเดินทวนน้ำไปดูอาการ “น้ำตกผามะนาว” และก็ได้เห็นน้ำตกผามะนาววันนี้แรงน้องๆ เหวนรกเลยอ้ะ เสียงน้ำกระแทกหินดังไปถึงที่พัก ละอองน้ำฟุ้งทั่วหุบน้ำตก เปียกปอน ชุ่มฉ่ำและทรงพลังมั่กๆ ที่ท้ายน้ำตกยังมี “ต้นมะนาวยักษ์” ให้เก็บกันหนุกหนานมะนาวลูกบ้ะเร่อ ต้นก็สูง ไม้สอยก็ม่ายมี ต้องทำบ่วงต่อไม้คล้องแล้วดึงยังกะจับกะปอม ลูกไหนตกน้ำก็ให้พี่อั้มลอยคอตามเก็บ (หน้าที่เดิมของดุหยงป่า) เลยมีมะนาวลูกใหญ่เต็มมือสามสี่ลูกมาฝากเพื่อนๆ ได้จิ้มเกลือกินเล่น ตอนเดินกลับยังเก็บผักกูดกรอบหวานมาอีกกำใหญ่ เสียดายที่ผักหนามและผักน้ำอื่นๆ เก็บมะได้เพราะน้ำพัดล้มโม้ดเรย แต่ก็พอมีผักกินกับน้ำพริกล่ะเย็นนี้ถ้ายังไม่ไว้ใจเชฟติ๋วหลิวอ่ะนะ
แต่คิดผิดอ่ะ..เพราะที่แค้มป์กำลังขะมักเขม้นทำ “ราดหน้าห้าพลัง” เมนูเมพขิงๆ น้ำราดหน้าสองหม้อแรกนะ.. เชฟติ๋ว บรรจงทำให้รสชาติแบ็บ..ต่างกันสิ้นเชิงขึ้นอยู่กับว่าอะไรจะหกลงไป หม้อที่สาม จารย์เต่ยกะพี่คิง ช่วยกันทำ (จิงแว้ว..พ่อครัวคิงมันทำอ่ะนะ แต่จารย์เต่ยก็ช่วยโลกไว้ด้วยการควบคุมการเติมน้ำตาลของคุงพ่อคัว) อีกหม้อนึงรสชาติออกไปทางสารคามโน่นเพราะ เชฟแสนดี อาสาทำเอง ส่วนเส้นราดหน้าอ่ะ ‘จารย์ป้ามอร์ ผัดสุดฟี้มือ (คือบับ..คงเป็นอย่างเดียวที่พอจะให้ป้าแกทำได้โดยไม่สร้างภาวะเรือนกระจกเท่าไหร่..) สรุปแล้วมื้อเย็นเลยได้ราดหน้าห้าพลัง หลากรสชาติให้คนกินเลือกเสี่ยงภัยตามใจชอบ..
โหยยย…ขอบคุณท้องฟ้าที่ให้ฝนหยุดลงตอนค่ำม่ายงั้นคงเจออะไรที่น่ามคานตลอดๆ ที่พักเราก็เลยไม่ทุลักทุเลกว่านี้ แสงไฟ เสียงคุยยังผสมกับเสียงป่า เสียงเพลงก็ล้าหน่อย เฮียแกคงหมดแรง ไอ้เสือแสน เร่งมือส่งไอ้ในขวดให้ ‘จารย์ปู่นพกะตัวเองคงเพราะคิดว่านี่ถึงคืนสุดท้ายแต่ไอ้ที่เอามายังเหลือหลายแบน จนข้าวต้มรอบดึกผ่านไป เสือแสนปิดท้ายด้วยมาม่าอีกหนึ่งหม้อ แล้ว..พอไอ้สิ่งที่ดื่มมาทั้งคืนออกฤทธิ์ ข้าวต้มกะมาม่าก็กลายเป็นอย่างอื่นปาย แม้แต่เสือ (แสน) ยังกลายเป็นไก่ ขันอ้อกกก! ออกลูกคออยู่บนเปลจนเช้า..
วันสุดท้าย เหมือนจะไม่มีฝน ตะละคนอินกะบรรยากาศซะมะมี ฟอกปอด ขมองและจิตใจของตัวเอง ค่อยเก็บข้าวของเดินทางกลับ เดินกันฟินๆ กับฝนพรำชิลๆ ทิ้งหน้าผาและก้นหุบไว้อีกครั้ง…ฝากไว้ก่อน….อ่านะ..
๑๖ ส.ค. ๕๖
..เค้าก้อเขียนได้แหละ เตง..
เห้็้นแล้วอยากไปจัง. หวังว่าจะได้มีโอกาสได้ร่วมเดินป่าสักวัน
ยินดีครับ … ติดตาม โปรแกรมได้ ทางเวปรักษ์เขาใหญ่ หรือที่ http://www.facebook.com/rak.khaoyai.group
เล่าเรื่องสนุกฝุดๆ แบ่บเกาหยีเลยเตง… มีโผกะหยี แม่นบ่???