สวัสดีค่ะ ปุ๊กเองนะคะ หลังจากลงมาจากเขาก็ยังไม่มีเวลาว่างเลย ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง วันนี้ก็ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะเขียนความรู้สึกที่มีจากการได้ไปทริบเดินป่าผาด่านช้างนะคะ จำได้ว่าวันนั้นในกลุ่มเพื่อนๆ ๕ คน (ปุ๊ก มีน เม็ดทราย ปาล์มมี่ ปู) นัดกันไปกินนมปั่นที่ร้านฟาร์มฮัก กำลังนั่งคุยกันอยู่แล้วมีนก็เอ่ยชวนเพื่อนๆ ว่ามีทริบเดินป่าจะไปไหม แสนดีชวนไว้ อยู่ที่เขาใหญ่ ตอนนั้นทุกคนฟังก็มีทั้งสนใจแล้วก็ลังเลใจว่าจะไปดีไหม ปุ๊กเองเป็นคนหนึ่งที่ลังเลใจ แต่พอมีนบอกว่าไม่ได้เอาโดมไปด้วยนะ ก็เลย เอ้า! ถ้าเราไม่ไปแล้วปล่อยเพื่อนไปคนเดียวก็คงไม่ดี ก็เลยตกปากรับคำมีนว่าไปก็ไปแล้วก็ถามที่เหลือว่าจะไปไหม วัดใจวัดเพื่อนไปกันป่าว เม็ดทรายที่ลังเลอยู่ก็โดนหลอกล่อให้ไปด้วย (สุดท้ายมันฟินกว่าเพื่อน) ปาล์มมี่เห็นว่าเม็ดทรายไปก็เลยไปด้วย ส่วนปูนั้นไม่ได้ไปเพราะว่าจะไปเที่ยวประเทศลาวช่วงนั้นพอดี ก็คุยกันมาตลอดเรื่องที่จะไปเขาใหญ่ ไปยังไง ค่ารถเท่าไหร่ ที่พัก กินอยู่ต่างๆ นานา คำตอบที่ได้คือ ไม่รู้ว่ะ ไปลำบากนะ ทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเอง ตอนนั้นปาล์มมี่จะชวนน้องปีหนึ่งไปด้วยอีกคน แต่ได้ห้ามไว้ เพราะไม่กล้าเอาน้องไป กลัวเกิดอะไรขึ้นแล้วรับผิดชอบไม่ไหว ก่อนวันเดินทางทุกคนก็เริ่มเตรียมตัวแสนดีก็นัดมาคุย (จ่ายเงิน) ที่กองกิจการนิสิต ก็ได้หม้อสนามกลับมาด้วย คืนก่อนเดินทางก็นัดกันมาที่ห้องเม็ดทรายแต่ปาล์มมี่ไม่ได้มา นั่งเล่นแล้วก็เก็บของกันอยู่สามคน กินมะยมกับน้ำปลาแซบมาก ไม่ได้แคร์สื่อว่าต้องเดินทางไกลคืนนั้นคุยกันถึงเที่ยงคืน มีนก็กลับห้อง แต่ปุ๊กคืนนั้นนอนหอเม็ดทรายเลย ประมาณตีหนึ่งปาล์มมี่โทรมาว่าไม่มีกระเป๋า กำลังจะออกไปซื้อ ก็อืมแล้วแต่ใครจะแก้ปัญหาตัวเองแล้วกัน
ตอนเช้า ก็ไปขึ้นรถที่กองกิจการนิสิตตอน ๙ โมงเช้า นั่งรถกระบะเพราะว่าแสนดีเอาเจ้าปีโป้ไปด้วย (ถ้าไม่มีปีโป้ก็ได้นั่งรถมหาลัยแล้ว แสนดีนะแสนดี) ตลอดเส้นทางก็มีทั้งอะไรต่างๆ นานา คุยกัน นอน บ่น กิน นู้น นี่สารพัด กว่าจะถึงโรงแรมก็บ่ายสาม ยกกระเป๋าขึ้นไปที่พักแล้วก็บ่นกันต่อ ไม่มีปลั๊กชาร์ตโทรศัพท์ ห้องน้ำไม่มีถังรองน้ำ พัดลมไม่เย็น นอนกันไม่พอ บลาๆๆ ตามประสาผู้หญิงด้วยกัน แล้วก็ลงมาทานข้าวเพราะแสนดีบอกว่าห้าโมงเย็นถึงจะพาไปไนท์ ก็คงรอไม่ไหว ห้าโมงเย็นก็ได้ไปเดินไนท์พลาซ่า ไม่ได้อะไรกลับมา เพราะว่าอิ่มขาไปนั่งรถขากลับได้เดินกลับเพราะรถสองแถวหมด ตกดึกมิวก็มาชวนไปบ้านพี่แขก ก็ได้ออกไปนั่งคุยว่าจะเดินไปยังไงเจออะไรบ้าง ส่วนตัวแล้วไม่ได้กลัวว่าจะเดินไกลหรือลำบากอะไรแต่ที่กลัวจนถอดใจว่าจะไม่ไปแล้วคือ เห็บลม เพราะเป็นคนแพ้แมลง แพ้หนัก แล้วก็เพิ่งนึกได้ตอนนั้นเองว่า เราแพ้ผึ้ง ต่อ แตน นี่หว่า ในใจคือ ทำไมพึ่งนึกได้ตอนนี้ บอกเพื่อนๆ แล้วว่าจะไม่ขึ้นไปนะ เพื่อนก็มองหน้า คืนนั้นก็อยู่กันดึกพอสมควรน้องน้ำก็เริ่มเมาเรียกปาล์มมี่ว่าลูกใภ้แม่ใหญ่แดง ก็เลยพากันกลับที่พัก เช้าวันต่อมาก็ล้างหน้าแปรงฟันแต่ยังไม่อาบน้ำ ชวนมีนไปกินข้าว ปาล์มมี่กับเม็ดทรายยังไม่ตื่น ไปร้านก๋วยเตี๋ยวเรือลุง (อะไรสักอย่างลืมแล้ว) ด้วยสภาพที่ไม่อาบน้ำทั้งสองคน ไปถึงร้านคนเยอะมาก รถจอดเพียบเริ่มมองหน้ากันเอง (ไมไม่อาบน้ำก่อนว่ะ) แต่ก็นั่งกินที่ร้านแล้วโดมก็ตามมาสมทบ มีนก็พูดให้ขึ้นเขาไปด้วยกัน ก็อืมไหนๆ ก็มาแล้ว จะทิ้งเพื่อนให้ขึ้นเขาแต่เราสบายอยู่ข้างล่างก็ยังไงอยู่ ก็เลยว่าขึ้นก็ขึ้น แล้วก็กลับมาที่พัก อาบน้ำแต่งตัวไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อย สนุกมาก น้ำเย็นสบาย ถ่ายรูป กินนู้น นี่ นั่น มะม่วง หมู ไก่
ปาล์มมี่ไม่ได้เล่นเพราะเป็นผู้หญิง จากนั้นก็ไปดื่มกาแฟถ่ายรูปต่อ หมดไปอีกหนึ่งวัน กลับมาถึงที่พักปาล์มมี่ก็เริ่มป่วย ทุกคนก็พากันไปแพ็คของที่บ้านพี่แขกแล้วก็กลับมาเก็บของต่อที่โรงแรม รุ่งเช้าก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ไปบ้านพี่แขกแต่เช้าไปเก็บของ ก็ได้เจอกับพระอาจารย์ พี่ๆ ที่ร่วมคณะเดินทาง แรกๆ ก็เออ พี่เค้าเป็นใคร เค้าไปกับเราด้วยเหรอ ทำไมเยอะจัง จะจำได้หมดไหม ขนาดนั่งรถมาด้วยกันจากสารคามยังจำได้ไม่หมดเลย ก็มีการแนะนำตัว แจกอาหารเช้า แล้วก็ออกเดินทาง
จำได้ว่าแวะซื้อของที่เซเว่น แล้วพี่นิมเป็นคนจ่ายค่ายาหมองให้(ยังไม่ได้คืนตังค์พี่นิมเลย) ก็นั่งมาในรถเรื่อย(พี่อ๋อเป็นคนขับ) ดูวิว ทิวทัศน์ บ้านพักตากอากาศ บนพื้นที่ลาดเอียง(พี่อ๋อเขาบอกมา) นั่งมาเรื่อยๆ ก็ถึงวัด เริ่มเตรียมตัวทุกคนพร้อมยกเว้นปาล์มมี่ (มันป่วย) แต่คนที่พร้อมช้าที่สุดคือเม็ดทราย ฮ่าๆๆๆ หัวเราะเยาะมัน ทั้งมะยมก่อนวันเดินทางต่อด้วยมะม่วง เป็นไงหล่ะ ตั้งแต่ตีหนึ่งจนถึงวินาทีสุดท้ายที่จะขึ้นเขา ก็เลยขอยาหยุดถ่ายให้เม็ดทรายกิน ทำให้ตลอดเวลาที่อยู่บนเขา มันไม่ขับถ่ายเลยสักครั้งเดียว มีแต่เราที่จัดหนักจัดเต็มทุกวัน == กับมีนอีกคนที่ระบบต่างๆ ยังดีอยู่ ก็เดินขึ้นเขากันไป อาการปาล์มมี่เริ่มทรุดลงเรื่อยๆ มีเม็ดทรายที่ดูแล ส่วนปุ๊กกับมีนนี่เดินตัวปลิว(ไม่ปลิวนะ เป้หนักมากทั้งไก่ หมู ปลากระป๋อง) สักพักปาล์มมี่ไม่ไหวเริ่มมีการหยุดพักบ่อยขึ้น จากนั้นก็เริ่มแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้เดินทางนำหน้าไปก่อน เพื่อเตรียมที่พัก และอาหารเย็น ซึ่งปุ๊กอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะอยู่กลุ่มหลังไม่ได้ ปาล์มอ้วกแล้วกลิ่นมันเรียกผึ้งมา ถ้าอยู่เดี๋ยวเป็นภาระของลูกหลานไปอีกคน ก็เลยตัดสินใจมากลุ่มหน้า ทิ้งมีนกับเม็ดทรายไว้กลุ่มหลังกับปาล์มมี่แล้วก็พี่ๆ กลุ่มหน้าก็มีพี่หวาน(ตอนแรกคิดว่าพี่เค้าเป็นผู้หญิง จน
วันสุดท้ายก็ยังคิดว่าพี่เค้าโม้ป่าวว่ะ ผู้หญิงแน่ๆ ) แล้วก็มีพี่นิม โดม มิว ปุ๊ก น้องลองกอง แล้วก็คนอื่นๆ (ลืมค่ะ) มาถึงที่พักก็เริ่มตั้งแคมป์ ทำกับข้าว ดื่มน้ำ สักพักกลุ่มหลังก็มาก็ช่วยกันทำงานนู้น นี่ นั่น ก็ทานข้าวเข้าเวร ร้องเพลง อะไรต่างๆ นานา ตอนเช้าก็ได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ตอนกลางคืนได้ดูดาว แล้วก็ทำกิจกรรมต่างๆ ที่พี่ๆ พาทำ เดินป่า ดูร่องรอยสัตว์
สรุป คือ สิ่งที่ได้จากการอยู่ในป่าคือได้เพื่อนใหม่ ได้มิตรภาพ ได้พิสูจน์เพื่อนอย่างที่ ปุ๊กเคยพูดไว้ตั้งแต่วันที่มีนชวน การใช้ชีวิตที่อยู่บนพื้นราบที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย มีรถขับ มีร้านกับข้าว มีอินเตอร์เน็ต เฟสบุ๊ค ห้องน้ำ มันต่างกับการใช้ชีวิตบนที่สูงมาก ทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเองแล้วก็ต้องช่วยเหลือคนในกลุ่มต้องช่วยกันทำงาน จากที่เคยมองผ่านๆ ไปในสิ่งที่เพื่อนทำแล้วเราไม่ชอบใจ จากที่เคยปล่อยไปเถอะช่างมัน พอมาอยู่ ณ จุดนั้นแล้ว ก็รู้สึกแบบอะไรว่ะ ไมทำแบบนี้ ไม่เกรงใจเราไม่เกรงใจเพื่อนก็น่าจะเกรงใจพี่ๆ บ้าง รู้สึกผิดที่เอามันมาด้วย ถ้าไม่พามาด้วยก็จะไม่รู้สึกอย่างนี้ จากที่ไม่เคยเถียงมีปากเสียงใส่เพื่อน ด้วยอารมณ์และความอดทนที่ลดลงก็เริ่มมีคำพูด เริ่มไม่อยากมองหน้า ไม่อยากอยู่ด้วย เพราะอยู่ใกล้ทีไรมันพูดจิกกัดเราทุกที เดี๋ยวมีทะเลาะ ขอหลบมุมดีกว่า เดี๋ยวมันก็คิดได้เอง แต่จนแล้วจนรอด มันก็คิดไม่ได้
วันลงเขาก็มี พิธีอำลากองไฟ ตลอดเส้นทางทุกคนก็สบายดียกเว้นทีนกับน้องลองกองที่ล้มก้นจ้ำเบ้า ทำให้เดินรั้งท้าย ฝนตกเล็กน้อย ปุ๊กกับเม็ดทรายเดินลงมอมะกอกมาด้วยกัน ร้องเพลงตลอดทาง เหนื่อยมากแต่ด้วยข้าว ๑ หม้อสนามกับสองคนทำให้เรามีพลังงานเหลือเฟือ ในขณะที่ทุกคนหิว == เดินมาถึงเป็นกลุ่มแรก สิ่งที่เห็นแล้ววิ่งเข้าใส่เลยคือห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัว(ชุดเดิม) ไปกินข้าว (พระอาจารย์เลี้ยง) อร่อยมาก แซบเว่อร์(ขนาดข้าวหนึ่งหม้อสนามก็เอาไม่อยู่ น้ำหนักขึ้นมา ๒ กิโล ) ขากลับก็ได้กลับรถไฟ เข้าห้องน้ำร่วมสาบานกับเม็ดทราย ครั้งหนึ่งในชีวิต ฉันได้ฉี่บนรถไฟ ฮ่าๆๆๆ โดยรวมแล้วมันเป็นการเดินทางที่แสนคุ้มค่า ได้อะไรมากกว่าที่คิด ได้มากกว่าการเดินป่าธรรมดา ได้ประสบการณ์ชีวิต ได้ข้อคิดหลายๆ อย่าง ได้เพื่อน ได้พี่ ได้น้อง ขอบคุณโชคชะตาที่พาเรามาพบกัน ถ้ามีโอกาส หรือช่วงเวลาเหมาะสม ก็อยากออกทริบเดินป่าอีกครั้ง ใช้ชีวิตที่เงียบสงบไม่วุ่นวาย สักพักเป็นการชาร์ตพลังให้ตัวเอง
นางสาว จิตตนันท์ ศรีสุทัศน์ (ปุ๊ก)
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะวิทยาศาสตร์ สาขาชีววิทยา
๒๔ มีนาคม ๒๕๕๖