๒ ปี ๒ ครั้ง กับ “สมอปูน” องก์ที่ ๒

      เดินตามเสียคนคุยกันเฮฮาไปเรื่อยๆ  …  มาถึงจนได้ “คลองต้มกาแฟ” ทีมก่อไฟ ต้มน้ำ เตรียมงัดข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไก่ทอดและอื่นๆ มาทำลาย ก็ทยอยเอามาแจกจ่ายกัน …. อ้าว แล้วของพระอาจารย์ละ ลืมเตรียมมา (ลืมของใครไม่ลืม ลืมของเจ้าคณะซะงั้น) ได้พี่อั๋น รีบจัดการหุงข้าวและล้วงเอากาน่าฉ่าย ออกมาจากกระเป๋าเป้คิงส์ ถวาย ….. หลังจากเติมพลังเชื้อเพลิงกันอย่างสำราญใจแล้ว กาแฟร้อนๆ นี่แหละสุดยอดปรารถนา พร้อม “น้ำอำมฤตอันชื่นชุ่ม” ก่อนแหงนมองเส้นทางต่อไป … ในตอนนี้พี่หวานและน้องๆ ที่เดินเข้ามาเป็นกลุ่มแรกก็ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว 

        ความท้าทาย ที่แท้จริงได้เริ่มขึ้นแล้ว จากที่เดินมาไม่ชันมากเท่าไหร่ หลังจากนี้แหละของแท้ ขึ้นสมอปูนจากฝั่งหัวเขาปีนี้มันแตกต่างจากปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง … ด้วยความชัน บวกกับน้ำหนักที่แบก แถมต้องสู้กับแรงโน้มถ่วงนี่มันสาหัสดีพิลึก … “น้ำตกกฤษดา” เป้าหมายต่อไปที่ต้องไปให้ถึง ตอนนี้ในใจไม่นึกไปไหนไกลเท่าไหร่นึกเพียงแค่จุดพักหลักๆ จุดต่อไป  (นี่ไม่นับจุดพักรอง ที่นับไม่ถ้วน)   …      เป้ของแต่ละคนถูกส่งต่อกันขึ้นไปก่อน เพื่อให้สะดวกในการปีนผ่านน้ำตกแห้งๆ ขึ้นไป (คงไม่มีใครอยากเป็นเจ้าของชื่อน้ำตกคนใหม่หรอกนะ) น้ำตกกฤษดานี่ถึงแม้เป็นเพียงทางน้ำไหลเมื่อยามน้ำหลาก แต่ก็ชันอยู่เอาการกว่าจะผ่านไปได้เล่นเอาแทบแย่ … ตรงนี้แหละที่ทำให้   อ.ชุมพล   ออกอาการรูดเสา เรียกเสียงหัวเราะให้กับคณะรั้งท้ายได้เป็นอย่างดี … จากตรงนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ พักบ้าง เดินบ้าง เสบียงที่แบ่งออกไปก็เริ่มกลับมาสู่ที่เดิมเป็นบางส่วน เรียกได้ว่าช่วยๆ กันแบกแล้วกัน … นั่งมองลงไปยังทางที่ผ่านขึ้นมา นี่เราขึ้นมาได้ไกลพอสมควรแล้ว ชมวิวไปพลาง พักไปพลาง แสงแดดก็ค่อยๆ หมดลงไปทีละน้อย ทีละน้อย เอาละ ! เริ่มเดินต่อ ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่นักก็เห็นพี่อุ๊ นั่งพักชมวิวอยู่คนเดียว

    “มาถ่ายรูปตรงนี้ นิม พระอาทิตย์ตกสวยดี”   พี่อุ๊รีบบอก   ชมวิวกันได้ไม่นานก็เริ่มเดินกันต่อ แต่คราวนี้เป็นความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา ไฟฉายถูกหยิบออกมาเตรียมพร้อม ….


   “พี่ทำไรนะ”“เห้ย ๆ ๆ ลื่น ๆ ๆ” “โห อุตส่าห์ตะกายแทบตาย สุดท้ายกลับลงมาที่เดิม” … “พี่ผมว่าไปทางขวาน่าจะง่ายกว่านะ” … “ไปทางไหนต่อพี่” “ทางซ้ายแล้วกัน”  พี่อุ๊บอกแทบจะในทันที เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนของน้องๆ กลุ่มหน้าบอกน้องอีกกลุ่ม  “มาทางซ้าย ทางนี้ ทางนี้” พลางส่องไฟฉายบอกทาง …. “พี่ๆ ออกขวาไปก่อนแล้วค่อยหักซ้ายมา” เสียงจากข้างบนก็ตะโกนลงมาบอกเรา อ้าว เราก็มาผิดทางเหมือนกัน  ถึงจุดทางแยกก็นั่งพักกันก่อนได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงพี่แขก “ส่งคนลงมาช่วยแบกเป้ด้วย ๒ คน เป้ ๔ ใบไม่ไหว” ก็ได้พี่แหลมนี่แหละลงไปช่วย … “เฮ้ย คิงส์ผิดทางแล้ว” “ไม่เป็นไรปล่อยมันหาทางขึ้นมาเอง ใกล้ถึงแล้ว”“อ้าว ผิดทางนี่” ดูเหมือนน้องคิงส์เพิ่งจะรู้ตัวแล้วย้อนกลับไปใหม่ “เฮ้ย ทำไมไม่ขึ้นมาต่อ อีก ๒ – ๓ เมตรเอง ย้อนกลับไปทำไม” ฮา ฮา … เมื่อสมาชิกกลุ่มรั้งท้ายมากันครบก็นั่งพักกันก่อน “น้ำอำมฤต”  ก็ถูกส่งต่อ เป็นการเติมพลังงานอย่างดี …นั่งพัก ปิดไฟฉาย ครู่เดียวสายตาก็เริ่มชินกับความมืด แสงสว่างสีเขียวตามพื้นก็เริ่มปรากฏให้ได้เห็น “ฟอสฟอรัส” นั่นเอง การเดินป่ากลางคืนก็ทำให้เห็นอะไรที่แตกต่างมากมายจริงๆ ดังที่ว่า “ถ้าไม่มีความมืด แล้วจันทร์จะงามได้อย่างไร” …    

   “เอาละ เดินทางต่อกันได้แล้วยัง”  เสียงพระอาจารย์ดังขึ้นมา “ส่งทางกันอีกรอบก่อนครับ”  พี่เก่งตอบแบบไม่รอช้า ส่งทางกันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ … ความชันในช่วงสุดท้ายนี่แหละมันเป็นเหมือนบททดสอบสุดท้าย และแล้วก็ถึง “ยอดสมอปูน” มองขวาไปก็เห็นวิวเมืองปราจีนบุรียามค่ำคืน แสงไฟส่องถนนสีเหลือง แสงไฟจากบ้านเรือนต่างๆ ชื่นชมความสวยงามกันเล็กน้อยก็ต้องรีบเดินต่อไปสมทบกับน้องๆ กลุ่มแรกที่ขึ้นไปค่อยอยู่ก่อนแล้วที่ลานหินที่นัดกันไว้ … ผัดกะหล่ำปลีกับเต้าเจี้ยวและกาน่าฉ่าย พร้อมข้าวสวย ถูกนำไปถวายพระอาจารย์เป็นที่เรียบร้อย ทีนี่ละ มาม่ากับไข่ (ไข่จากย่ามพี่อุ๊ ที่รักษามาเป็นอย่างดี) เป็นเมนูรองท้องก่อนจะเดินทางกันต่อ เป้าหมายต่อไปคือที่พักของเรา สระอโนดาต .. “เจ้าหน้าที่ ที่ขึ้นมาก่อนคงพักที่นั่นกันแล้ว”  พี่อ๋อร้องบอกขึ้นมา “งั้นเราพักที่ลานก่อนถึงก็แล้วกัน”  พี่แขกบอกต่อ

     “เดินทางกันต่อได้แล้วยัง   เสียงพระอาจารย์  “เอ้า น้องๆ เก็บของ เตรียมตัวเดินทาง”  …  นั่นสิ ๕ ทุ่มแล้ว (จะไปถึงกี่โมงเนี่ย) เดินผ่านทุ่ง ผ่านลานหิน ดอกไม้เล็ก ๆ เจ้าภาพประจำสมอปูนก็เริ่มมีให้เห็น งูเขียวตัวเล็กยังออกมาต้อนรับ จากจุดนี้วิวเมืองปราจีนบุรีก็เห็นได้กว้างมากขึ้นสวยไปอีกแบบ  (ปีที่แล้วเห็นแต่กลางวัน)  เดินผ่านป่าเล็กๆ มาได้รู้สึกเลยว่าใกล้ถึงแล้วล่ะ แต่พักก่อนนะ

………“หินประธาน”   นี่แหละ มักจะเป็นจุดที่พักกันเป็นประจำไม่ว่าขาขึ้นหรือขาลง ส่วนกลุ่มนำยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ  …   “ไม่เดินแล้วได้ไหมพี่”   “ขา กลับลงอีกทางได้ไหม ไม่อยากลงทางเดิมเลย”   เสียงน้องนกหวีดบ่นขึ้นมา …  “ไม่ได้ทั้งสองอย่างแหละน้อง”  พี่แขกตอบสั้นๆ พร้อมบอก “ไปกันต่อแล้วกัน”   “อ้าว กลุ่มหน้าจะเดินไปไหนนะ บอกแล้วนี่ให้พักที่ลานนี้”  …  “อุ๊ นิม หวาน ลองไปดูทางขวาว่ามีที่พักเหมาะๆ ให้พักไหม”   พี่แขกบอกพลางวางเป้ รีบเดินไปตามกลุ่มหน้ากลับมา 

      “พี่ว่าตรงนี้แหละเหมาะแล้ว ขึงเชือกต้นนั่น กับต้นนี้กางผ้าใบ” “ต้นนี้กับต้นนี้ คงกางเปลให้น้องผู้หญิงนอนได้สัก ๔ คน”  พี่อุ๊บอกแล้วก็ลงมือเคลียร์พื้นที่ทันที โดยมีมือถาก อย่างน้องทิวส์เป็นลูกมือหลัก … เมื่อคณะมาถึงพร้อมกันหมดแล้ว ก็เริ่มลงมือตั้งแค้มป์ ปูผ้าใบ แบ่งตำแหน่งกันว่าใครนอนตรงไหน ส่วนน้องๆ สารคามก็ไม่น้อยหน้า จัดการกางเต็นท์ กางผ้าใบ ปูพื้น ก่อกองไฟ กันเป็นที่เรียบร้อย พระอาจารย์นพปูผ้าใบหลับไปแล้วตามระเบียบ …. จัดที่พักกันเรียบร้อย ก็ได้เวลามานั่งพัก ระหว่างนั้นพี่แขกก็เล่าให้ฟังว่า ตอนพากลุ่มนำเดินย้อนกลับมา ได้ยินเสียงน้องจากสารคามคนไหนไม่รู้ บ่น “ย่างไป ย่างมา อยู่นั่นแหละไม่ถึงสักที ข่อยบ่ย่างแล้ว ข่อยสินอนนี่แหละ” (เป็นใครสืบเอาเองนะ)  ฮา

เรื่องเล่าจากเขาสมอปูน ตอนอื่น ๆ
… สมอปูน …
… กลางดง พงป่าสมอปูน …
… การเดินทาง “สมอปูน” …
… ครั้งหนึ่ง ณ สมอปูน …
… เรื่องเล่า จากสมอปูน …
…  ๒ ปี ๒ ครั้ง กับ “สมอปูน” องก์ที่ ๒ …

ปิดการแสดงความเห็น