ยานชาร์เลนเจอร์ กับ เจ็ดนักสำรวจ ตอน สำรวจดาวอุ้มผาง…..(๑)

 ยานชาร์เลนเจอร์กับ เจ็ดนักสำรวจ ตอน สำรวจดาวอุ้มผางงงงงงงง…..โดย ‘มอร์
       เนื่องจากเมื่อหลายเดือนก่อนมีสัญญาณส่งมาจากดาวดวงหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำ ป่า สัตว์และพืชพันธุ์ธัญญาหาร อีกทั้งสิ่งมีมีชีวิตบนดาวดวงนั้นยังอยู่อย่างสงบสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย  ชาวโลกอย่างเราจึงจำเป็นต้องไปสำรวจดาวประหลาดดวงนี้เพื่อดูว่าจะเหมาะเป็นพื้นที่ให้แก่ชาวโลกผู้รักสงบได้มาอาศัยในอนาคต แทนโลกอันแสนจะวุ่นวายและเมืองที่มีแต่ตึกกับรถพ่นควันดำหรือไม่ 
       เมื่อยานชาร์เลนเจอร์สองลำพร้อม เราก็ออกเดินทาง ยานชาร์เลนเจอร์No.1 ของเราออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่บ่ายสี่โมง เป็นยานขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดเล็ก(เรียกมันเล่นๆ ว่า ป๋องแป๋ง ก็ได้ มันดูเหมือนกระป๋องจริงๆ นะ เวลาขับเร็วๆ แล้วดูเหมือนว่าส่วนต่างๆ ของรถจะหลุดออกจากกันงั้นแหละ ไม่น่าจะไปถึงอุ้มผางได้เล้ย…) มีพลขับคือพี่นิม และพลหลับอีกสองคือพี่อุ๊และพี่มอร์  เนื่องด้วยพลขับ พี่นิม และพลหลับพี่อุ๊ อยากลองเส้นทางใหม่ เราจึงต้องงมทางอยู่ในอยุธยาซะนาน ป๋องแป๋งก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดี หลบหลุมนั้นมาตกหลุมนี้  ทำเอาพลหลับพี่มอร์นั่งลุ้น พระอาทิตย์กินอิ่มก็หย่อนท้องย้อยๆ ลงดินเข้านอน รอบยานของเราถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำ ดวงดาวตกงานไม่ให้แสงสว่าง เพราะไฟจากโรงงานส่องแสงจ้าบนท้องฟ้าเมืองกรุงเก่าแทน เมื่อผ่านทางหลุมดำมาได้สักพักเราก็เห็นแสงไฟส้มจากถนนสายเอเชีย ยิ้บปี้!..นึกว่าจะต้องนั่งตูดระบมต่อไปเสียแล้วสิ แล้วเราก็มุ่งตรงไปยังจุดหมายนครสวรรค์อันเป็นจุดนัดพบกับยานชาร์เลนเจอร์No.2(ไม่น่าเชื่อว่าชาร์เลนเจอร์ของเราจะสามารถขึ้นมาถึงสวรรค์ได้ด้วย วิทยาการของมนุษย์โลกนี่ช่างล้ำหน้าจริงๆ เอ!…เมืองสวรรค์นี่อยู่บนชั้นบรรยากาศไหนนะเนี่ย)
        ยานชาร์เลนเจอร์No.1 สามารถติดต่อยาน No.2 ได้ตอนหกโมงเย็น และทราบว่ายานNo.2 เพิ่งจะถูกปล่อยออกจากฐานปากช่อง ชาร์เลนเจอร์ No.2 นั้นใหญ่กว่าลำแรก เป็นยานสีน้ำเงินดูแข็งแรงทนทานกว่าป๋องแป๋งมากมาย(แต่ไฟหน้าจะใสข้างหนึ่ง ขุ่นข้างหนึ่ง ขอเรียกเล่นๆ ว่ากัปตันแจ๊ค แล้วกัน ดูเป็นโจรกระจอกติ๊งต๊องเหมือนเจ้าของ ไม่ได้ว่าใครนะ ฮี่ๆ..)  ยานลำนี้มีพี่อั๋นเป็นพลขับ พร้อมพลหลับอีกสามได้แก่ครูนพ(จอมยุทธปราบมาร) ลุงแขก(หัวหน้าพรรคมาร) และพี่แน็ท(หัวหน้าของหัวหน้าพรรคมาร) การเดินทางมานครสวรรค์ของยานชาร์เลนเจอร์No.2 ค่อนข้างจะราบรื่นเนื่องจากผู้คุมพลขับหรือครูนพนั่งมาด้วย เลยไม่มีใครคิดไปทางบุกเบิกทางพิสดารให้ถูกครูด่าเล่น
        หลังจากยานทั้งสองลำมาพบกันและเติมพลังทั้งคนทั้งยานเรียบร้อยแล้ว ยานทั้งสองสับเปลี่ยนพลขับและพลหลับกันนิดหน่อย เพื่อให้ยานของเราถึงดาวเคราะห์เป้าหมายได้อย่างปลอดภัย ระหว่างทางเราเดินทางกันค่อนข้างทรหดอดทน(ตูด)กันมาก ฝนก็ตก หลุมก็เยอะ ไฟหน้าชาร์เลนเจอร์No.1 ก็ดันมาหรี่ลงตอนตกหลุมใหญ่ ตาบอดคลำทางกันอยู่ตั้งนาน ใจตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวป๋องแป๋งจะเป็นอะไร พอจอดดูก็โล่งใจไปเยอะ แค่โคลนกระเด็นปิดลูกตาน้องป๋องแป๋งเท่านั้นเอง ไฟหน้าเลยเหมือนจะดับ คืนนี้จะรอดไปถึงอุ้มผางไหมนี่ ==“
        จากทางที่เต็มไปด้วยกับดักหลุมโคลน สู่หุบเขาลี้ลับที่ซ่อนของดาวเคราะห์ที่หมาย เส้นทางของเรา ช่างวกวนและคดเคี้ยวยิ่งนัก พลขับทั้งสองจำเป็นต้องตั้งใจเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ขึ้นเขา ข้ามห้วย ลงหุบ ทำให้พลหลับที่นั่งหัวสั่นโงกเงกต้องหลับพร้อมระวังหัวจะโขกกระจกตลอดเวลา(แต่พลหลับเกิดมาเพื่อหลับ และโชคดีที่มีวิทยายุทธล้ำเลิศกันทุกคนเลยสามารถโยกไปตามเจ้ายานชาร์เลนเจอร์ได้สบายๆ) 
         เมื่อแสงแดดแยงตาพลหลับ นั่นหมายความว่าเราเข้ามาใกล้เจ้าดาวเคราะห์ประหลาดมากขึ้นทุกที ดาวเคราะห์ที่เขาร่ำลือว่าเป็นเมืองภูเขาร่มห่มหมอก ถนนลอยฟ้า น้ำตกที่ร้องคำรามได้ ท้องฟ้าร้องไห้ทั้งกลางวันกลางคืน ภูเขาดอกไม้ ห้วยดับเบิ้ลช็อค ภูเขาผัก เอ…น่าสงสัยเหลือเกินว่าผู้คนที่นี่เขาอยู่กันได้อย่างไร

สำรวจเมืองภูเขาร่มห่มหมอก

          หลังจากยานชาร์เลนเจอร์ร่อนลงจอด ณ ตูกะสู (จุดบัญชาการใหญ่ที่ได้รับการควบคุมและดูแลโดยชาวโลกที่ถูกส่งตัวมาก่อนหน้านี้แล้วได้แก่พี่ยุ้ยและลุงอู๊ดดี้) พลขับและพลหลับทั้งหมดก็นอนรวบรวมพละพลังเตรียมสำรวจเมืองนี้ในวันพรุ่งขึ้น   แต่ก็ยังมีการสำรวจเบื้องต้นที่เริ่มโดยพลหลับพี่อุ๊ พี่แน็ทและพี่มอร์ เรานำกัปตันแจ๊คหรือชาร์เลนเจอร์ No.2 ออกสำรวจรอบๆ ดาวเคราะห์นี้ อุ้มผางเป็นเมืองขนาดเล็กมาก มีถนนตัดถึงกันหมด ยามค่ำคืนก็ออกจะเงียบเชียบ มีที่ว่าการอำเภอเล็กๆ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเล็กๆ ร้านค้าก็เล็ก วัดก็เล็ก แต่เชื่อหรือไม่ว่าขนาดพื้นที่ของอุ้มผางนั้นมีอาณาบริเวณมากกว่าอำเภออื่นๆของประเทศไทย ก่อนการสำรวจ เราได้ศึกษามาแล้วว่าคำว่า “อุ้มผาง” นั้นมาจากภาษาปะกาเกอญอ คำว่า “อุพะ” ซึ่งหมายถึงกระบอกไม้ไผ่สำหรับใส่เอกสารในสมัยก่อน จากนั้นก็เพี้ยนมาเป็นคำว่า “อุ้มผาง” ดังที่เราได้ยินในปัจจุบัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุ้มผางนั้นอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มรดกโลกทางธรรมชาติคู่กับทุ่งใหญ่นเรศวร  ป่าผืนใหญ่ของประเทศไทยซึ่งมีขนาดหดเล็กลงไปทุกวันๆ เนื่องจากการบุกรุกถางป่าเพื่อทำเกษตรกรรม เป็นคำถามในใจว่าป่าเกิดมาเพื่อรองรับและสนองความต้องการมนุษย์ หรือ มนุษย์เกิดมาเพื่อเบียดเบียนและทำลายป่า  ทรัพยากรโลกที่เหลือน้อยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวกันแน่ ใครเกิดมาเพื่อใครกัน
          นอกจากความหลากหลายทางธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของอุ้มผาง เมืองนี้ยังเป็นเมืองแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมอีกด้วย  ขณะที่เราวนรถไปรอบๆ เมือง เราสามารถได้ยินคนพูดภาษาคำเมือง ภาษาไทยกลาง ภาษาพม่า ภาษาปะกาเกอญอ ภาษาโพล่ว ภาษาม้ง และน่าจะมีอีกหลายภาษาจากชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อพยพมาอาศัยในเมืองแห่งนี้
         การสำรวจวันนี้เป็นไปอย่างเงียบๆ เรียบง่าย เพราะเพียงชั่วพริบตา ฟ้าสลัวยามเย็นก็กลับกลายเป็นฟ้ามืดราวปิดไฟ(จริงๆคนสำรวจง่วงมากจนตาปิด) การสำรวจอย่างจริงจังคงต้องเริ่มวันพรุ่งนี้แล้วหละ
 
ภูเขาดอกไม้

 วันนี้ดูเหมือนว่ากลุ่มนักสำรวจของเราส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นจากการหลับใหล ทำให้การสำรวจช่วงเช้าวันนี้เหลือเพียงนักสำรวจหน้าเดิมคือพี่อุ๊ พี่แน็ทและพี่มอร์ ออกไปสำรวจภูเขาดอกไม้ ภูเขาที่เขาร่ำลือกันนักหนาว่ามีแต่ดอกไม้บานเต็มเขาไปหมด สวยราวสวรรค์บนดินทีเดียว โปรยคำโฆษณามายั่วซะขนาดนี้ นักสำรวจทั้งสามมีหรือจะอดใจไหว คราวนี้นำทัพโดยเจ้าถิ่น ลุงอู๊ดดี้ ผู้เชี่ยวชาญพันธุ์ไม้ ผีเสื้อ กล้วยไม้ หิน ดิน ทราย และอะไรอีกหลายอย่างที่แกยังอุบไว้ไม่บอก
         ทันทีที่เราลงจากน้องเสือโย่ง(ยานคู่ชีพของลุงอู๊ดดี้ มันเป็นเสือเพราะใช้บุกป่าบ่อยๆ และโย่งเพราะมันสูงทำให้ต้องออกแรงเวลาปีนขึ้น ตั้งชื่อให้เขาอีกละ) เราก็จะเห็นภูเขาหัวโล้นตั้งอยู่หน้าเรา ภูเขาหัวโล้นที่แต่งแต้มด้วยสีชมพูของดอกเทียนและความเขียวชอุ่มของไม้พุ่มขนาดเล็กในฤดูฝน หากจะเรียก “ดอยหัวหมด” ที่เรากำลังจะขึ้นไปสำรวจว่าภูเขาหัวโล้นอาจจะเป็นการดูถูกมันมากเกินไป ที่หัวโล้นนั้นไม่ได้เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า แต่เจ้าก้อนหินขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่นี้คือก้อนแร่โดโลไมท์ ซึ่งกรมทรัพยากรธรณี(http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=621&filename=min1) เขาบอกว่ามันคือหินปูนชนิดหนึ่ง ที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบของต้นไม้เล็กๆ ไม้พุ่มเตี้ยเท่านั้น และเชื่อหรือไม่ว่าที่เราเหยียบอยู่นี่เมื่อร้อยสองร้อยกว่าล้านปีก่อนมันคือทะเล 0_0!! นั่นเพราะหินปูนก่อเกิดมาจากตะกอนของทะเล ดังนั้น ที่ไหนมีหินปูน ที่นั่นต้องเคยเป็นทะเลมาก่อนแน่นอน (เอ…ตอนนั้นเราเป็นตัวอะไรในทะเลน้า….)
      การสำรวจของเราเริ่มขึ้นโดยลุงอู๊ดดี้เดินนำไปด้านบน พี่อุ๊แยกไปทางซ้าย ส่วนสาวๆ พี่แน็ทและพี่มอร์ไปกันสองคนค่อยๆ เดินชมดอยกันไป ไม่รีบ เพราะวันนี้อากาศดี แม้ฟ้าจะครึ้มฝนไปหน่อย แดดจะน้อยไปนิด ที่มาของ “ภูเขาดอกไม้” ก็คือเจ้าดอกเทียนปีกผีเสื้อ ดอกไม้เฉพาะถิ่นอุ้มผางนี่เองที่เป็นเหตุให้ภูเขาทั้งลูกเปลี่ยนเป็นสีชมพู  นอกจากเจ้าเทียนปีกผีเสื้อแล้วยังมีดอกหญ้าขี้อายอีกหลายชนิดซ่อนตัวอยู่บนพื้นดินบ้าง โขดหินบ้าง เช่น ผักปราบสีม่วงอ่อนฟูฟ่องดอกน้อย หรือจะม่วงเข้มแบบดอกชาฤษี  ตัดกับสีเหลืองของดอกถั่ว  กล้วยไม้จำพวกอั้วก็มาอวดดอกขาวกลางดอยเหมือนนางรำใส่ชุดหางปลายาวสีขาวสวยแข่งกับหญ้าหนูต้น ดอกขาวกลีบเป็นแฉกหกกลีบเกสรสีเหลืองสดพุ่งชี้ฟ้า บนโหดหินก็ขาวพราวด้วยขาวฟ้าไบซั่น คล้ายดอกปีบแต่ขาวสะอาดและก้านดอกเป็นหลอดและมีขนาดเล็กกว่าดอกปีบนิดหน่อย เคียงคู่กับประกายฉัตร ไม้ใบสวยราวถูกจัดวางเป็นชั้นๆเหมือนฉัตร ยิ่งมีน้ำค้างอยู่บนใบสะท้อนกับแดดยิ่งงามสมชื่อ บางโขดหินก็ห่มด้วยมอสสีเขียวฉ่ำฝนลายดอกเสื้อตุ๊กตาสีขาวแต้มม่วงเหลือง  เจ้าโขดหินจะอุ่นเพราะมีมอสไว้ห่มหรือจะหนาวเพราะมอสก็อุ้มฝนไว้เต็มน้า…. (อยากไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้วใช่ไหมล่ะ อดใจอีกนิด แล้วจะรีวิวดอกไม้ดอกหัวหมดให้ชมจ้า)
           การสำรวจด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ นี้ก็สร้างความตื่นตาตื่นเต้นแก่นักสำรวจอย่างเรามากทีเดียว กดชัตเตอร์เพื่อเก็บบันทึกภาพกันแทบไม่ทันเลย ดอกนั้นก็สวย ดอกนี้ก็สวย เดี๋ยววิ่งไปกอนั้น เดี๋ยวเลื้อยอยู่กอนี้ (เลื้อยถ่ายรูปแบบมาโครน่ะ ไม่ได้เลื้อยนอน) การสำรวจวันนี้ลุล่วงไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ สมใจคนหลงรักดอกไม้ใบหญ้า ^___________^

6 thoughts on “ยานชาร์เลนเจอร์ กับ เจ็ดนักสำรวจ ตอน สำรวจดาวอุ้มผาง…..(๑)

  1. ชาร์เลนเจอร์ ป๋องแป๋ง … ดีแล้วที่ไม่มีระเบิดกลางอากาศ ….

    • จะระเบิดได้ยังไงครูนพนั่งไปด้วย แต่ก็เกือบตาบอดแหล่ะน่า

  2. ขอแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมไม่ได้จับผิดนะ
    1. พื้นที่อำเภออุ้มผางส่วนใหญ่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง
    2. ดอกฟ้าขาวไบซั่น ออกเสียงอย่างนี้แหละครับแต่สะกดว่า ฟ้าขาวใบสั้น ไม่ใช่ไบซั่นที่หมายถึงสัตว์กีบจำพวกวัว นั่นน่ะเขาอำำ “อำำ” เล่นครับ

  3. เด๋วทำหนังสือสักเล่มได้เลย