จากเมืองใหญ่สู่ยอดขุนเขา

    … ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ เราได้มีโอกาสเดินป่าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต ถ้าไม่นับรวมดินป่าเข้าค่ายฯ นะ งานนี้ทริปแรกก็โดนทริปโหดเลยเรา จากทีแรกตกลงกันไว้ก่อนไปว่าทริปนี้ไปผาด่านช้าง ในใจนึกแต่ว่า เอาละงานนี้สนุกแน่ๆ เริ่มติดต่อเพื่อนต่างโรงเรียนว่ามีใครไปบ้าง ได้เสียงตอบรับมาว่ามีเด็กปากช่องไป ๖ คน ผู้หญิงล้วน ใจเริ่มชื้นมาหน่อยมีผู้หญิงไปเยอะจะทำอะไรคงไม่ลำบากมากนัก เลยเริ่มติดต่อกับพวกพี่ๆ รักษ์เขาใหญ่เป็นอันเข้าที่ทุกอย่าง พอถึงวันที่ ๑ เราต้องขึ้นไปรวมตัวกันก่อนที่ปากช่องบ้านพี่แขกเพื่อเช็กของและแพ็คเสบียง โอเค พร้อม กระเป๋า รองเท้า เปล ถุงนอน ของใช้ส่วนตัวรวมถึงเสบียงอาหาร พอมาถึงปากช่องนั่งรอเจ้าของบ้านยัน ๓ ทุ่มกว่า เหตุเพราะเจ้าของบ้านไปรับพวกพี่ๆ ฝั่งปราจีนบุรี โชคดีที่ได้โทรฯ ถามที่เก็บกุญแจเลยเข้าบ้านได้ ไม่งั้นมีรายการโดนยุงหามเป็นแน่แท้ พอทุกคนมาครบเราก็เริ่มเอ่ะใจ ทำไมไม่มีผู้หญิงสักคน เลยถามพี่เขา “พี่คะ มากันครบแล้วเหรอ?” ได้ยินคำตอบแทบหงายหลัง “ครบแล้วครับ” อ้าวกำ แล้วเด็กปากช่องล่ะ เลยถามไปอีกที ได้คำตอบกลับมาแทบลมจับ “เด็กปากช่องไม่มีใครมาได้เลย โทรฯ มายกเลิกหมดแล้ว แกเป็นผู้หญิงคนเดียวในทริปนี้หละ” ตายละหว่าเหงื่อเริ่มซึมออกมาเล็กน้อย แถมยังมีเสียงแซวมาอีก “งานนี้แกเป็นไข่ในหินแน่ๆ ทะนุถนอมกันอย่างดี ผู้หญิงคนเดียวในทริป” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างขำขัน เหอะๆ ใครมันจะไปขำออก ผู้ชาย ๑๑ คน ผู้หญิงคนเดียว แถมพี่ๆ แต่ละคนขี้แกล้งกันทั้งนั้น แต่เอาเถอะไหนๆ ก็มาแล้วจะกลับก็ใช่ที่…เลยตัดสินใจไปกับเขา    …. เช้าวันแรกของการเดินทางทุกคนมาพร้อมเช็กของอีกรอบและเริ่มเดินทาง งานนี้เราไปจอดรถและเริ่มเดินเท้าเข้าป่ากันที่หลังวัดมกุฏคีรีวันต์เขาใหญ่ ออกสตาร์ทก็ยังโอเค วอร์มเครื่องไปเรื่อย เดินมาถึงมอมะกอก เฮ้ย!…ทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้เนี่ย เห็นทางแล้วตาลาย จะรอดไหมละเรา พักได้ซักพักก็เดินกันต่อ มีเสียงขู่ไล่ๆ หลังมา “อย่าเพิ่งหมดแรงนะ มอหน้า มอขี้แตก แกได้ขี้แตกสมชื่อแน่” นั่นไงไม่ทันไรก็ขู่กันซะแล้ว พอมาถึงมอขี้แตก เฮ้ย! สมชื่อ ทำไมมันชันขนาดนี้ แค่ยังไม่เริ่มก็จะเป็นลมละ จะรอดถึงยอดไหมละเนี่ย แต่ยังดีที่มอนี้ถึงจะชันมากแต่ก็มีเชือกให้จับพอดึงตัวขึ้นไปได้ หลังจากมอนี้ไปเส้นทางก็เริ่มเดินสบายขี้น เราเดินกันไปเรื่อยๆ พี่แขกก็หาทางไปเรื่อยเช่นกัน มุดกันไปมุดกันมา งานนี้ไม่รู้โชคดีหรือผีพลักเราจึงไปกันถึงที่พักได้ เพราะพี่แขกบอกว่าไม่ได้ขึ้นมานานมากเกือบสิบปีได้ คืนแรกเราพักกันที่แถวๆ ริมน้ำตกเป็นจุดที่เราบากทางกันเอง พอตั้งแค้มป์เสร็จก็เตรียมตัวทำอาหารกัน งานนี้ได้พ่อครัวใหญ่อย่างพี่นิมเป็นคนทำ เพราะผู้หญิงคนเดียวของทริปนี้ทำกับข้าวไม่เป็น เราเลยได้มีอาหารอร่อยๆ กินกัน พอถึงเวลาพักผ่อนก็เริ่มจัดเวรยามเฝ้ากองไฟ นั่งคุยกันได้สักพัก ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
           เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทำภารกิจส่วนตัวและกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็ตกลงกัน โดยงานนี้พี่แขกบอกกับลูกทีมว่า ถ้าบ่าย ๓ โมงเรายังหายอดเขาแหลมไม่เจอ เราจะกลับลงมาแล้วพักที่เดิม เหมือนเป็นนัยๆ ให้พวกเราเตรียมใจกัน เราก็ได้แต่ภาวนาขอให้พี่แขกหายอดเขาเจอ  เพราะถ้ามาถึงนี่แล้วไม่ได้ขึ้นไปคงเสียดายแย่   และพี่แขกก็อายุมากเข้าไปทุกที ถ้าจะหวังพึ่งเจ้าหน้าที่ก็คงไม่ได้ เพราะได้ยินพี่ๆ เขาเล่ามาว่าเจ้าหน้าที่ยังบอกว่ามืดแปดด้าน พอเริ่มออกเดินทางเราก็เริ่มทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ เพื่อที่ตอนกลับจะได้ไม่หลงทาง งานนี้เราก็เดินงมทางกันมาตลอดและยังต้องเบิกทางกันเองอีก ดูจากสภาพทุกคนเห็นได้ชัดเลยว่าเหนื่อยและล้าสุดๆ แต่พอทุกคนมาถึงจุดที่เราพักเพื่อกินกาแฟ ก็เริ่มเห็นความหวังของทุกคนอีกครั้ง เพราะตอนนี้เรามาเกือบถึงแล้ว
พอพักกันได้สักพักเราก็ออกเดินทางต่อ เหมือนโชคเข้าข้าง  พี่แขกหาทางเจอเราเลยได้ขึ้นมาจนถึงยอด ความเหนื่อยล้าที่มีมลายหายไปหมด เหลือเพียงความอิ่มอกอิ่มใจกับภาพตรงหน้า สมแล้วที่สูงเป็นอันดับสองของเขาใหญ่ หมอกจางๆ บวกกับหยาดน้ำค้างเบาๆ ที่มาตามแรงลม นี่ยังไม่รวมถึงทิวทัศน์เบื่องล่างที่มองเห็นหมู่แมกไม้เขียวขจี ที่พลิ้วไหวตามแรงลมชัดเจนอย่างไม่มีอะไรบดบังสายตา บรรยากาศแบบนี้ไม่ต้องไปไกลถึงภาคเหนือเราก็สามารถสัมผัสได้ ความงามของป่าเขาที่เราเห็นคงอธิบายเป็นคำพูดได้ไม่หมด หากไม่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง งานนี้ถือว่าคุ้มค่าที่สุด  หากแต่เราถอดใจกลับไปเพราะกลัวความเหนื่อยล้า กลัวความลำบากของเส้นทาง เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่งดงามเกินคำบรรยายแบบนี้ ถึงแม้เราจะไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกดินบนยอดเขาแหลมเพราะหมอกเริ่มลงหนามากขึ้น แต่แค่ได้ขึ้นมาสัมผัสบรรยากาศบนนี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว เราอยู่ดูความงดงามของธรรมชาติบนยอดเขาถึงประมาณ ๕ โมงเย็น ก็เริ่มเดินทางกลับลงมา เราลงมาพักกินข้าวกันที่จุดเดิมที่เราพักกินกาแฟตอนขึ้นมา ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เวลาก็ล่วงเลยไป เอาแล้วไง…ทริปแรกก็ได้เดินป่าตอนกลางคืนเลยจะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย ในใจได้แต่ภาวนาขออย่าให้ตัวอะไรโผล่มา หรือเดินหลงทางกันเลย ยังไม่ทันสิ้นเสียงภาวนาของตัวเอง เสียงของหนุ่มผมยาวผู้นำทางก็ดังมาบอกให้หยุดรอ เพราะหาเครื่องหมายที่ทำไว้ไม่เจอ เอาแล้วไง…แล้วมันหายไปไหนละเนี่ย หากันอยู่พักใหญ่เดินไปหยุดหาไปกว่าจะถึงแค้มป์เวลาก็ล่วงเลยไป ๕ ทุ่มกว่า หมดแรงกันไปตามๆ กัน โชคดีที่ได้กับข้าวอร่อยๆ ฝีมือพี่นิมเพิ่มพลัง พอกินอิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน  บวกกับความเหนื่อยล้าของการเดินทาง ทำให้ทุกคนหลับกันสนิทตลอดทั้งคืน แต่ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอนก็ได้นัดหมายกันคร่าวๆ ถึงจุดที่จะไปพรุ่งนี้ สรุปกันได้ประมาณว่าเราจะไปพักกันที่จุดกางเต๊นท์ที่ผาด่านช้าง พี่คิงยังคุยอวดถึงความสวยของที่นั่นว่า “สวยมากเลยนะ น้ำตกก็เย็นสบาย มีหน้าผาสูง ตอนเย็นๆ ก็เล่นน้ำไปดูฝูงนกเงือกบินกลับรังไป”   แหม แค่ได้ยินก็ชักจะอยากให้เช้าไวๆ ซะแล้ว    … สายๆ ของวันที่สาม นักเดินทางแต่ละคนมีสภาพไม่ต่างกันมากนัก บ้างก็โดนหนามตำเท้า บ้างก็โดนตำมือ บ้างก็ปวดขา บ้างก็ปวดหลัง แต่ทุกคนก็ยังยิ้มและสู้ต่อกับเส้นทางที่จะไป เมื่อเก็บสัมภาระและเคลียแค้มป์เสร็จก็มีพิธีอำลงกองไฟ โดยให้น้องใหม่มายืนล้อมกองไฟหลับตาแล้วกล่าวขอบคุณกองไฟตามพี่เก่ง เมื่อกล่าวขอบคุณกันเสร็จก็ถึงขั้นตอนสำคัญของพิธี คือการเอาน้ำราดลงไปบนกองไฟและขี้เถ้า ผลที่เกิดนั้นแน่นอนว่า ทั้งขี้เถ้าและเขม่าควันเต็มหัวน้องใหม่ไปตามๆ กัน เป็นการเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเพิ่มพลังกันยามเช้าก่อนออกเดินทาง เราเดินทางกันมาได้ไม่นานนักก็มาถึงผามะนาว ที่ซึ่งมีหน้าผาสูงชัน สายลมเย็นๆ ผสมกับไอความร้อนหน่อยๆ ช่างเข้ากันดีนัก เราเดินทางต่อไปยังผาด่านช่าง  ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็มาถึง หน้าผาสูงชัน มองเห็นทิวเขาเบื้องหน้า และสายน้ำ เย็นฉ่ำที่ไหลมา ทำให้ให้ใครหลายๆ คนอยากจะรีบวางกระเป๋าแล้วมากระโดดลงน้ำให้ชื่นใจและหายเหนียวตัว เพราะ ๒ วันที่ผ่านมามีบางคนที่ไม่ได้อาบน้ำเลยก็มี เราเลยรีบตั้งแคมป์และลงไปเล่นน้ำกัน ไม่น่าเชื่อว่าแดดแรงแบบนี้แต่น้ำกลับเย็นเฉียบให้ความสดชื่นจนหลายๆ คนไม่อยากขึ้นจากน้ำเลยทีเดียว หลังจากเล่นน้ำกันพักใหญ่ เราก็แต่งตัวแล้วขึ้นนั่งคุยแลกเปลี่ยนกันที่ริมผาเพื่อรอดูนกเงือกและความสวยงามของธรรมชาติยามอาทิตย์อัศดง จากที่ฟังพี่คิงเล่ามา ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่นกเงือกบินกลับรัง  แต่รอแล้วรอเล่าเราก็ไม่เห็นวี่แววนกเงือกเลย ได้แต่สงสัยเลยจะถามพี่แขก แต่ยังไม่ทันได้ถามในสิ่งที่สงสัย เสียงของผู้ร่วมเดินทางก็ดังมาบอกว่า “นั่นไงนกเงือก” ผู้ที่มีกล้องก็ยกกล้องขึ้นมาเพื่อจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก งานนี้เราได้เห็นนกเงือกกันเพียง ๓ ตัว แต่ก็ถือว่ายังได้เจอ และยังได้ภาพสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย เรานั่งคุยกันอีกสักพักฟ้าก็เริ่มมืดลงท้องก็เริ่มร้อง  เราเลยเดินกลับกันมาที่แค้มป์เพื่อทำกับข้าวและกินข้าวเย็นของค่ำคืนสุดท้ายกลางป่าใหญ่ อาหารมื้อนี้พิเศษเพราะไหนๆ ก็เป็นคืนสุดท้ายเราเลยเปลี่ยนบรรยากาศลงไปกินข้าวกันที่โขดหินริมน้ำตกแสงไฟจากตะเกียง มองเห็นดวงดาวที่ทอแสงอยู่บนท้องฟ้า ทำให้บรรยากาศของมื้อนี้ดูอบอุ่นและครึกครื้นมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกหลายเท่า หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จ เราก็กลับขึ้นมาที่แค้มป์และนั่งคุยกันรอบกองไฟก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน คืนนี้ได้เสียงดนตรีเพราะๆ จากพี่แขกขับกล่อมนักเดินทางได้เป็นอย่างดีทำให้ค่ำคืนสุดท้ายของทริปดูอบอุ่นและรื่นเริ่งอย่างมาก  … เช้าวันสุดท้าย เราเตรียมสัมภาระและเก็บของ แล้วจึงออกเดินทางกลับลงไป ระหว่างการเดินทางเราก็ได้พูดคุยกันไปเรื่อย เส้นทางที่เดินกลับถึงจะเหนื่อยจะชันแต่ไม่มีใครบ่นสักคำ ตอนเรามาเส้นทางช่างดูไกลและยากเย็นแต่หลังจากที่เราได้ใช้เวลาอยู่กลางป่า เดินขึ้นยอดเขาแหลม เรากลับรู้สึกว่าเส้นทางนี้ไม่ได้ลำบากอะไรเลยถ้าเทียบกับทางที่เราเจอมา และมันทำให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรที่ยากไปกว่าความสามารถของคนได้เลยหากเรามีความหวัง ด้วยความหวังนั้นมันจะเป็นแรงผลักดันให้ไปถึงจนได้ เมื่อเดินทางมาถึงวัดมกุฏคีรีวันต์เขาใหญ่เราก็ได้ไปกราบลาเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็ได้ให้ของกินติดไม้ติดมือแก้หิวกลับมาด้วย หลังจากกราบลาเจ้าอาวาสแล้วเราก็เดินทางกลับกันลงมาที่บ้านพี่แขก พักกันได้สักพักเราก็แยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองในเมืองใหญ่

…  โดย เฉื่อยลมโชย  …
๑๙  สิงหาคม  ๒๕๕๕

 

เรื่องใกล้เคียง  …
หนึ่งโหลโสถิ่ม ขึ้นไปทำอะไรบนเขาแหลม

 

3 thoughts on “จากเมืองใหญ่สู่ยอดขุนเขา

  1. บ.ก. ตรวจคำผิดให้น้องบ้างสิ บานเลย

      • ผู้น้อยมิกล้า..ผมหมายถึงนิมครับอาจารย์ ให้ตรวจให้น้องครับ