หนึ่งโหลโสถิ่ม ขึ้นไปทำอะไรบนเขาแหลม

“ยอดเขาแหลม! พี่จะให้ผมพาขึ้นไปทำอะไรครับ ที่เคยเดินก็แค่ลัดสันเขาไปที่ทุ่งเท่านั้นแหละ ถ้าจะขึ้นยอด พวกผมมืดแปดด้าน…”

   …..นี่คือคำให้การของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่บอกคณะขึ้นยอดเขาแหลมเมื่อเก้าปีที่แล้ว บ่งบอกว่าเส้นทางนี้ร้างรกเพียงใด ขาประจำที่ใช้เส้นทางนี้สู่ยอดเขาแหลมคือกระทิง แต่ด้วยความคิดถึงและคิดพิเรน จึงมีคนวางแผนขึ้นเขาแหลมในวันหยุดยาวสี่วันตอนต้นเดือนสิงหาคมที่น่าจะมีฝนตกชุก ครั้งนั้นเมื่อเก้าปีก่อนแม้จะขึ้นยอดเขาได้สำเร็จอย่างงงๆ แต่ทางคณะก็ยังตอบคำถามไม่ได้ว่าขึ้นไปทำอะไร?  แล้วครั้งนี้ล่ะ… ทั้งยังมีคำถามเพิ่มด้วยว่า..จะขึ้นไปได้ยังไง?

     คนนำทางของเราก็ไม่พ้นพี่หน่องหรือพี่แขกของน้องๆ สมาชิกอื่นไล่ตามอาวุโสได้แก่ พี่สุนทรสมาชิกใหม่วัยเก๋า อาจารย์ชุมพล พี่อุ๊ พี่เก่ง พี่อั๋น พี่นิม พี่หวาน คิง อั้ม น้องทิ้วจากมวกเหล็กและน้องฝ้าย เป็นสาวสวยที่สุดในคณะเดินทาง(ถ้ามีใครในกลุ่มนี้สวยกว่าก็น่าคิดนะ…) รวมกันได้ ๑๒ คนหนึ่งโหลพอดี และทุกคนรับรู้กันว่าเราอาจไปไม่ถึงที่หมายหรือไม่ได้ออกมาตามกำหนด(แถวบ้านเรียกหลง) ฉะนั้นชีวิตในป่าครั้งนี้ต้องละวางให้แล้วแต่ชะตากรรม ภาษาอีสานเรียกว่าโสถิ่มหรือโสทิ้ง” นั่นเอง ให้นึกถึงหนังสงครามสมัยเด็กเรื่อง “สิบสองเดนตาย” ยังไงชอบกล

เริ่มเดินทาง……………………………
    ตั้งใจว่าจะกราบพระอาจารย์แดงเอาฤกษ์ ท่านก็ไม่อยู่ ไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาข้างหน้าก็ได้(แต่ขออย่าให้เจอเลย) หนุ่มไหนอยากขอกำลังใจสาวก็จัดซะก่อนจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ในป่า ช่วงหลังวัดขึ้นมอมะกอก มอขี้แตก ถึงสันเขานั้นไม่มีอะไรต่างจากตอนที่แล้วๆ คือเหนื่อยแทบแย่เหมือนเดิม

 

 

      พี่เก่งนำตัดเส้นทางเพื่อ เข้าตอนต้นน้ำของ “ห้วยโกรกเด้”  โดยไม่ต้องปีนป่ายน้ำตก ห้วยโกรกเด้ก็คือห้วยเดียวกับที่พวกเรามาพักกันบ่อยๆ ตอนเดินมาดู น้ำตกผาด่านช้าง ¹ น้ำตกมะนาวใหญ่ เป็นห้วยเดียวกับที่เราเล่นอ่างน้ำหรูระดับเอวาซองรีสอร์ทดูทิวทัศน์ “เขากำแพง” ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าผาหรือที่พาเด็กๆ รอชมอุปรากรนกเงือกยามเย็นนั่นแหละ

      ลำห้วยนี้มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาแหลมแต่ไหลออกทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือจึงค่อยๆ ไหลออกนอกเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ไปทางอำเภอวังน้ำเขียว ไหลรวมกับลำธารอื่นๆ ที่เกิดจากภูเขานอกเขตอุทยานฯ เป็น  “ลำพระเพลิง” ต่อไป

       เดินไปเดินมาฝนก็ซ่าลงมาพอให้เปียก และยังทำให้คนเดิน(เซ่อ) ซ่าอีกสองคนคือพี่อุ๊กะไอ้อั้มหลงจากฝูงไปพักใหญ่กว่าจะหากันเจอ เมื่อตัดลงห้วยที่มีลักษณะเป็นลานหินโล่งมีน้ำหลากก็หยุดพักรับลมและฝนพอหายเหนื่อย หน้าที่ในวันนี้คือเดินเลาะทวนห้วยหาที่พักให้ได้ระยะเข้าใกล้ยอดเขาแหลมที่สุดแต่ต้องเป็นทำเลพอพักได้ อิงลำน้ำและต้องได้ที่พักก่อนฟ้ามืด เดินต่อมาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงพี่หน่องก็ตัดสินใจเลือกลานดินริมห้วยที่พอจะแผ้วถางไม่ยากนัก ธารน้ำเป็นโตรกหินให้น้ำไหลจึงน่าใช้กว่าน้ำที่เป็นแอ่งนิ่ง ผู้เฒ่านั่งพักรอที่ริมห้วย หน่วยแผ้วถางเข้าบุกเบิก คิงกะอั้มได้รับโจทย์ให้รีบก่อกองไฟท่ามกลางดินชื้นแฉะ ก็ยังรู้จักใช้โพลิเมอร์ที่มันเรียนมาช่วยจุดไฟ เมื่อได้เครื่องดื่มร้อนๆ ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าก็เริ่มตั้งแค้มป์พักกลางคืน อาบน้ำอาบท่า หุงหาอาหารยิ่งครั้งนี้หนุ่มๆ คาดหวังว่าน้องฝ้ายจะเป็นแม่ครัวแสดงฝีมือทำอาหารแต่น้องฝ้ายบอกว่าทำอาหารไม่เป็น บรรดาพ่อครัวเลยต้องรับหน้าที่ช่วยกันทำให้คุณน้องกินก็ได้พี่นิมเป็นพ่อครัวใหญ่แกพกพาอาหารทะเลแห้งหลายขนานมาให้ลิ้มลอง

 

 

 

     เสร็จธุระแล้วเตรียมเข้านอนแต่ละคนต้องรีบตักตวงเวลาพักผ่อนเพราะวันพรุ่งนี้ต้องเดินหนักที่สุดตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตามเวรยามกลางคืนนั้นก็ละเลยไม่ได้ คนที่จะอยู่ผลัดแรกตอนหัวค่ำถึงดึกน่ะหาไม่ยาก แต่คนที่จะอยู่กลางดึกถึงเช้าน่ะสิ ก็ต้องตกลงกันว่าใครนอนก่อนก็ต้องตื่นมารับเวรตอนดึกจนรุ่งเช้า ยกเว้นก็แต่พี่สุนทร อ.ชุมพลและน้องฝ้ายที่ได้รับสิทธิ์พักผ่อนเต็มที่ ระหว่างที่พี่อุ๊เล่นกีตาร์เรียกน้ำย่อย ไอ้คิงส่งเสียงบ๊งเบ๊งคุยโม้สลับกับเสียงพี่หน่องเบรกมันเป็นระยะๆ ไอ้เสืออั้มหลบไปทิ้งตัวหลับอยู่ชายแค้มป์ เมื่อถึงเวลาตีสามกว่า พี่ๆ ปลุกเรียกมันมาอยู่เวร มันนั่งคอพับคออ่อนไม่รับรู้อะไรจนต้องปลุกซ้ำหลายหน รุ่นพี่แจ้งหน้าที่การอยู่เวรให้มันฟัง

 

“หน้าที่เวรยามคือคอยเติมฟืนใส่กองไฟให้ลุกเป็นเปลวไฟอยู่                                                   เสมอเพื่อให้แสงสว่าง ให้เราคึกคักไม่ง่วงเหงา นอกจากนั้นให้คอยสาดไฟฉายดูรอบๆ แค้มป์เป็นระยะถ้าพบสิ่งแปลกปลอมหรือสัตว์ร้ายจะได้แจ้งให้คนในแค้มป์เตรียมรับมือ แต่ถ้าฉายไฟไปเจอคนนุ่งโจงกระเบนสวมชฎายืนนิ่งอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ก็ให้เฉยๆ ไว้ไม่ต้องบอกใคร…”    แค่นี้มันก็เริ่มตาสว่างปนผวาจนเช้า  ในวันนี้หน้าที่ของเวรยามอีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาคือหุงข้าวอีกหกหม้อเพื่อใช้กินตอนเช้าและพกไปกินระหว่างทางเพราะต้องรีบทำเวลาเริ่มเดินทางให้เร็วที่สุด ก็ได้หมูหวานจากป้ามอร์มาช่วยได้เยอะทั้งตอนเช้าและในเส้นทาง “หมูหวานป้ามอร์นี่ดีมีประโยชน์กว่าคนให้มาเองซะอีก” เป็นคำชมป้ามอร์จากพี่อั๋น แถมยังสำทับอีกว่า “ถ้ายัยมอร์มาด้วยนะ ไม่ต้องกางแค้มป์ให้นอนหรอก ให้แซะเข้าไปนอนในเปลือกไม้ผุๆ ก็ใช้ได้แล้ว” ยืนยันว่าพี่อั๋นพูดจริงๆ นะป้ามอร์ คนอื่นไม่เกี่ยว

……………………………………………………………………………………….

วันเดินกับเดิน……………..
       สิ่งที่เราต้องทำในวันนี้คือเดิน เดิน และเดิน โดยประยุกต์กลยุทธ์ของพระเจ้าตากสินตีเมืองจันทบุรีคือกินให้อิ่ม พกอาหารและน้ำไปเท่าที่จำเป็นเพื่อให้การเดินทางคล่องตัวที่สุด ทิ้งแค้มป์และอาหารที่เหลือไว้เพื่อเราจะได้พยายามรักษาชีวิตกลับมากินมันอีก ป๋าหน่องยังกำหนดโจทย์ให้เราและตัวเองก่อนออกเดินทางเพื่อบริหารความไม่แน่นอนว่า “ถ้าบ่ายสามแล้วเรายังไม่เห็นจุดหมาย เราจะหันหัวกลับแค้มป์โดยทิ้งยอดเขาแหลมให้อยู่กับสายลมต่อไป… ฉะนั้นเพื่อจะได้กลับแค้มป์ถูกให้ทำเครื่องหมายตามทางให้ดี”      ชุดเดินค้นหาอนาคต…เอ๊ย! ยอดเขาแหลมก็เริ่มออกเดินทางโดยมีป๋าหน่องนำหน้าสุดเป็นคนนำทาง พี่อั๋นเป็นพลบากหน้า(บากต้นไม้ทำเครื่องหมายอยู่หน้าขบวน ไม่ได้ไปบากหน้าใคร หรือบากหน้าไปหาใคร..) ทิ้วเป็นพลบากซ้ำ แต่มันฟันดะเลยตลอดทาง ตามด้วยพี่อุ๊พลบ่นไปเรื่อย พี่นิมพลาธิการกลางแถว พี่สุนทรและอาจารย์ชุมพลเดินตามมาเงียบๆ เงียบจริงๆ อั้มพลเสบียง น้องฝ้ายหน่วยให้กำลังใจเท่าที่ให้ได้ รถถังอย่างคิงแบกน้ำถังใหญ่ใส่เป้เพราะระหว่างทางจะไม่มีแหล่งน้ำเลย พี่หวานเป็นพลบากหลังแกชอบทำอะไรข้างหลังอยู่แล้ว สุดท้ายพี่เก่งพลผูกเชือกและปิดขบวนป้องกันใครหลง
    …….ด้วยว่าห้วยโกรกเด้ที่เราพักอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของยอดเขา เราจึงตั้งต้นหันหน้าเดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าเป็นป่าโปร่งเราจะเห็นเทือกเขาแหลมขวางหน้าอยู่ อย่าเผลอเดินข้ามไปล่ะเดี๋ยวจะเตลิด หลักการที่พี่หน่องคิดให้ได้ยินคือเดินตามสันเขาให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และเลือกจับเขาที่สูงกว่าไปเรื่อยๆ จนเมื่อไม่มีสันเขาไหนสูงกว่าในละแวกนี้แล้วนั่นแหละ  …  เขาแหลม”
       พูดน่ะง่ายครับแต่พอเห็นสันเขาทั้งสูงไปเรื่อยๆ แล้วยังรกจนไม่มีทางให้เดินนี่สิ มันท้อแท้ พลฟันข้างหน้าก็ทำหน้าที่ไม่ย่นย่อ บางช่วงเป็นทางด่านให้เดินสะดวกก็ได้เดินสบายได้หลายก้าว หรือบางครั้งก็สบายเกิ๊นเพราะทางด่านแตกออกไปหลายทิศทางจนหาทางจริงลำบากต้องลองมุ่นผิดมุ่นถูกกันหลายรอบ ดีที่ยังสามารถมองเห็นยอดเขาแหลมได้เป็นระยะๆ ให้มั่นใจว่ามาถูกทาง บางครั้งพี่หน่องก็ต้องสวมบทหนุมานตามเชื้อสายแขกของแก  ปีนต้นไม้มองหายอดเขาให้แน่ใจ(ภาพถ่ายฟ้อง) พี่สุนทรต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดินเป็นพ่อมดเทา ส่วนอาจารย์อ้วนก็หาไม้เป็นเสาจะไว้รูดเอาแรงเหมือนคราวสมอปูนแต่คราวนี้ไม่มีแม้แรงจะรูดเสา ท่าจะหมดจริงๆ
         จนเลยเที่ยงวันเราได้มาถึงตัวเทือกเขาแหลม เส้นทางบีบแคบเพราะเป็นหน้าผาทั้งสองข้าง มีรอยเท้ากระทิงย่ำจนพื้นเละเป็นโคลนแต่ก็ทำให้เส้นทางชัดเจนขึ้น ภูมิประเทศเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ป่าบางช่วงเปิดออกไม่รกทึบเหมือนเดิม เริ่มมองเห็น“ดอกเทียนป่า” สีม่วงอ่อนเป็นผืนตามที่โล่ง “ดอกว่านไก่แดง”เล็กจิ๋วขึ้นไปอวดดอกล้อลมอยู่บนต้นไม้สูงแต่เด่นด้วยสีแดงสดตัดออกจากสีเขียวของป่า ลมจากผืนป่าใหญ่ทางทิศใต้ก็พัดตึงๆ ให้ความฉ่ำเย็นจนต้นไม้ต้องห่มผ้า เมื่อแน่ใจในโชคชะตาที่พอมีบ้างแล้วเราก็เย็นใจหาที่ก่อไฟต้มกาแฟร้อนๆ แจกจ่ายกันพร้อมอาหารว่างและพักผ่อนช่วงสั้นๆ ก่อนเปลี่ยนจากการเดินเป็นการ  “ปีน”

       ในระยะทางที่เหลือเป็นการปีนไต่ระดับเมื่อถึงที่ราบเป็นพักหรือเป็นซำ(ภาคอีสาน) ก็ได้เดินปกติช่วงหนึ่งก่อนจะเริ่มปีนอีกเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่สูงขึ้นไปเหมือนเดินบนขนมเค้กที่มีหลายชั้น ชั้นยิ่งสูงขึ้นลมยิ่งแรง ภูเขาเป็นหินมากขึ้น ก้อนใหญ่ขึ้นจนเราปีนไม่ได้ต้องอาศัยมุดช่องโพรงแคบๆ ของก้อนหินเพื่อขึ้นชั้นต่อไป ให้ลำบากคนหุ่นเฟิร์มทั้งหลาย พี่อุ๊แกเคยมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนแกยังบอกว่า
      “ช่องหินมันคงแคบเข้าเรื่อยๆ เพราะความเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก” โธ่! พี่ ความเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกหรือของพุงพี่กันแน่…
        เมื่อไม่มีสันเขาให้เดินขึ้นไปอีกแล้ว ไม่มีช่องเขาให้มุดขึ้นไปอีกแล้ว มีเพียงลานหญ้าโล่งกว้างพอประมาณ มองเห็นทิวทัศน์ด้านหนึ่งคือปากช่องและวังน้ำเขียวอีกด้านหนึ่งคือป่าผืนใหญ่สุดสายตามีทุ่งหญ้าซึ่งก็คือ“ทุ่งเขาแหลม” อยู่กลางป่า ฉะนั้นจุดที่เราทั้งสิบสองคนยืนอยู่นี่คือ… ยอดเขาแหลม….ยอดเขาเจ้าของความสูง ๑,๓๒๖ เมตร  จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ความสูงพอๆ กับพระธาตุดอยสุเทพ หรือที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ต่างกันตรงที่ปลอดผู้คนมารบกวน ต้นไม้มีฝอยลมห่มคลุมขึ้นเป็นต้นห่างกันบนภูเขาหินมหึมา ลมเย็นเยือกพัดตึงๆ ต้นไม้ใบหญ้าทั้งไอหมอกขาวกระโชกไหวตามแรงลม เราได้เพียงเฝ้าดูปรากฏการณ์นี้เพียงเสี้ยวเวลาทั้งที่มันเกิดขึ้นตรงจุดนี้มาชั่วนาตาปี      ไม้ยืนต้นบนลานโล่งยังเป็นที่เกาะเกี่ยวของไม้เล็กๆ อย่าง“สาวสนม” สีม่วงบานเย็นมีเกสรสีเหลืองสดเด่นออกมา ตามขอบผาหินก็เป็นที่อยู่ของ“ดอกเข้าพรรษา” สีเหลืองส้มขึ้นเป็นแนว หลบลมอยู่ซอกหินท่ามกลางมอสสีเขียวคือ“เปราะภู” ดอกสีเหลืองอ่อน ลมทางใต้หอบไอหมอกหนาขึ้นมาจากป่าใหญ่บังทัศนวิสัยในบางเวลาและยังทำให้บรรยากาศลึกลับไปด้วย เวลาที่เราขึ้นไปถึงนั้นคือสี่โมงเย็นถ้าจะรอดูพระอาทิตย์ตกดินคงไม่ได้เพราะหมอกอาจบดบังดวงอาทิตย์ และอากาศก็เย็นเยือก พี่หน่องหัวหน้าคณะจึงประกาศให้อยู่ได้ถึงห้าโมงเย็นเท่านั้น
        ตั้งแต่ขึ้นถึงสันเขาแหลมชั้นล่างๆ ที่สามารถมองเห็นวิว ใครมีกล้องก็ถ่ายภาพกันสนุกมือ จะมีก็แต่อาจารย์ชุมพลที่บ่นว่าแบตเตอรี่หมดเร็วเพราะความผิดพลาดทางเทคนิค(ทั้งที่สอนเทคนิค) ที่ชาร์ตไม่ทำงาน เลยมีผู้หวังดีแนะนำว่าให้อาจารย์รอเจ้าของรอยเท้ากีบๆ ที่เห็นเยอะแยะไปหมดเนี่ยมาชาร์ตให้ มันชาร์ตดีนะครับไม่คิดสตางค์…
      …หลังจากกระดี๊กระด๊าโพสต์ท่าถ่ายรูป โห่ร้อง แสดงความสะใจที่ขึ้นยอดเขามาได้เป็นผลสำเร็จ รู้สึกตัวอีกทีก็หนาวยะเยือกเลยต้องงัดรีเจนซีมาเปิดฉลองให้เหมือนนักแข่งรถเปิดแชมเปญ กระนั้นยิ่งใกล้ห้าโมงเย็นยิ่งรู้สึกทนทานยากขึ้นเรื่อย อยากเดินลงให้มันรู้สึกอุ่นแต่ก็อยากอยู่ซึมซับบรรยากาศและความภูมิใจข้างบนนี้ให้นานที่สุด…
ก่อนห้าโมงเย็นประมาณสิบนาทีเราเริ่มตั้งขบวนเดินลงเขาด้วยความอาลัยและหนาวสั่น ช่วงลงเขาชันมีการปรับขบวนเล็กน้อยให้ตัวทำลายเส้นทางอย่างพี่อุ๊กะอั้มทะลูดอยู่หลังแถวไม่รู้ว่าจะป้องกันใครเดินตาม …สงสัยคนสวมชฎาที่ชอบพูดถึง…
          ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จุดพักเดิมที่เราพักเติมพลังกันตอนขาขึ้นก็ถูกใช้เป็นที่พักกินอาหารมื้อหนักมื้อเดียวในเส้นทางนี้ เสบียงที่พลอั้มแบกหนักมาก็ถูกกำจัด น้ำที่รถถังคิงแบกมาก็พร่องไปเยอะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับหมูหวานป้ามอร์ที่ทำให้มื้อนี้ง่ายและอร้อย..อร่อย       มีดทุกเล่มถูกเก็บเพราะจะไม่บากถางทางอีกเด็ดขาด ไฟฉายทุกกระบอกทั้งเล็กทั้งใหญ่ถูกนำออกมาเพื่อค้นหารอยบากหรือเครื่องหมายที่เคยทำไว้นำทางกลับ อาหารที่แบกมานั้นหมดแล้ว น้ำเหลือน้อยนิดน่าจะพอสำหรับการเดินแต่ไม่พอสำหรับการใช้ข้ามคืน แหล่งน้ำตามทางนั้นไม่มีใครเห็นเลยเมื่อขามา ฉะนั้นเป็นตายอย่างไรคืนนี้ต้องกลับแค้มป์
         …แม้พลบากทุกคนยืนยันว่าทำเครื่องหมายอย่างละเอียดและหันหลังกลับไปดูตลอดทางเดินขึ้น แต่กระนั้นหลายช่วงเดินที่เราต้องงมหาเครื่องหมายนำทางอย่างยากลำบาก ท่ามกลางความมืดคณะเดินทางต้องหยุดเดินหลายครั้งไม่ใช่เพราะความเหนื่อย(ทั้งที่เนื้อย…เหนื่อย) แต่เพราะต้องจัดระบบค้นหาเครื่องหมายกันไม่ให้สับสน แว่วเสียงพี่เก่งวิงวอนกะอะไรก็ไม่ทราบว่า

        “คืนนี้ไม่ขอโปรโมชันอะไรเลยนะเจ้าประคู้ณ” ²  แล้วก็มีเสียงแว่วตอบจากในแถวว่า “ไม่รอดหรอก น่าจะโดนโปรฯ เหมา เหมา…” แถวเดินนั้นเงียบลงไปเรื่อยๆ ตามความมืดและความไกล พี่หวานที่ปิดท้ายแถวต้องเสียวสันหลังอยู่เรื่อยเมื่อมีเสียงผิดปกติ แต่ความจริงไม่มีอะไรมาก บอกแล้วเจ้าป่าเจ้าเขาคุ้มครองเราอย่างดี ดูดีๆ จะเห็นเงาชฎาแวมๆ ของท่านด้วยซ้ำ…อีกแล้ว..เล่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว…

       พระจันทร์คืนแรมหนึ่งค่ำดวงกลมโตโผล่พ้นเหลี่ยมไม้มาคอยส่องทางและเป็นเพื่อนเดินก็พอดีเราเดินถึงร่องเขาที่มีโขดหินใหญ่ที่ทุกคนจำได้ คณะเรานั่งพักกินลมที่เฉื่อยฉิวมากลางดึกให้หายเหนื่อย ความเครียดที่มีลดหายไป รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เราเดินกันจนเวลาห้าทุ่มพอดี  ก็พบแค้มป์ที่เราจากไปเมื่อเช้ายังรอเรากลับมาด้วยอาการปกติไม่ถูกสัตว์รบกวนเป็นการสิ้นสุดการเดินทางสิบสี่ชั่วโมงในวันนี้ กิจวัตรต่างๆ เริ่มต้นอีกครั้ง กองไฟถูกจุดขึ้นใหม่ หม้อน้ำหม้อข้าวถูกนำมาเรียงขึ้นไฟอย่างพร้อมเพรียงด้วยความโหยหิว กับข้าวอย่างง่ายก็ถูกเตรียมและไม่นานนักทุกอย่างที่กินได้ก็ถูกกิน…กินเรียบ
          ความลำบากที่ยังต้องเผชิญอย่างหนึ่งก็คือการอาบน้ำ สภาพที่เปื้อนเปรอะดินตามทาง เหงื่อไคลที่สะสมมานับสิบชั่วโมงบังคับให้ทุกคนต้องอาบน้ำแม้เวลาจะเลยเที่ยงคืนและเป็นน้ำห้วยที่เย็นเฉียบ…น้องฝ้ายก็ไม่ได้รับการยกเว้น…อิ..อิ
        พออาบน้ำเสร็จต่างก็เผชิญความลำบากอีกอย่างคือความง่วงงุน การที่ได้พักผ่อนจากการเดินขึ้นลงเขาอย่างยาวนาน ได้ชำระร่างกายและได้อยู่ข้างกองไฟภายใต้ถุงนอนใบอุ่นใครก็อยากหลับใหลเพลิดเพลินในนิทรา จึงต้องพึ่งเจ้าพ่อวังค้างคาวอย่างพี่หน่องและสาวกคือพี่นิมอยู่เวรยามช่วงแรก เวรยามคืนนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังคอยดูบรรดาพลบากทั้งหลายอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุที่เงื้อมีดบากทางมาทั้งวัน เกรงว่าจะละเมอเฉาะหัวเพื่อนที่นอนใกล้ เสียงเพลงของพี่หน่องแว่วมาแทรกในภวังค์หลับของหลายคนและอาจเข้าไปในฝันของบางคนในคืนนี้
………………………………………………………………………………………………

วันพักผ่อน………………

     เป็นเช้าที่ลุกจากที่นอนยากเย็นแม้สภาพที่นอนจะมีแค่ผืนผ้ายางรองหลัง มีเป้เป็นหมอนและมีถุงนอนเน่าเป็นผ้าห่ม อาศัยไฟฟอนและการนอนเบียดเสียดกันให้อุ่นไอกลางความเย็นเยือกของป่าและสายลมพัดกรรโชกตลอดคืนสลับกับฝนพรมเบาๆ หลายคนที่ตื่นแล้วแต่ยังคงนอนมองต้นไม้ฟังเสียงนกเพลินๆ ให้ร่างกายได้พักสบายบ้าง บางคนอาจนอนคิดเล่นจนได้คำตอบของตัวเองแล้วว่า ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น?…

      แม้จะเป็นวันพักผ่อนแต่ก็ยังมีภารกิจต้องเดินอีก เมื่อจัดการอาหารเช้าตอนใกล้เที่ยงแล้วก็พากันเก็บแค้มป์  เพื่อเดินทางย้อนกลับไปยังจุดพักประจำของเราที่บริเวณผาด่านช้างซึ่งถ้าเดินตามน้ำห้วยนี้ไปคงใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง แต่เราเดินทางลัดเขาไปไม่ต้องคดเคี้ยวเหมือนห้วยเลยใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า โธ่! ประหยัดไปตั้งหลายนาที ระหว่างทางพรานเก่งประกอบเบ็ด อุปกรณ์หากินมาเลาะตกปลาไปตามแอ่งต่างๆ เป้าหมายเฉพาะคือ…เหล่าปลากั้งชะตาขาด เมื่อถึงน้ำตกมะนาวแฟนๆ หน้าเก่าอดไม่ได้ที่ต้องมองหาดอกลิ้นมังกร แต่เสียดายที่ยังไม่มีดอกให้ชื่นชมเห็นก็แต่กออยู่ตามก้อนหิน

       เมื่อถึงถิ่นเก่าที่คุ้นเคยเราใช้เวลาไม่นานในการตั้งแค้มป์ เพื่อใช้เวลาที่เหลือไปที่หน้าผาหาดูนกเงือกเช่นที่ทำเป็นประจำ ขณะรอก็เล่นน้ำ ชมวิวหน้าผา จิบเหล้า ถ่ายรูป สนทนากัดกันเองเมามัน พรานปลาก็เปลี่ยนมือกันวิดปลากั้งขึ้นมาใส่พกกันสนุกสนานลำบากคิงที่มีหน้าที่ล้างไส้ปลา

       เย็นนี้ต้องรอเกือบมืดจึงเห็นนกเงือกกรามช้างบินข้ามหัวในระยะใกล้สามตัวฟังเสียงปีกของมันกระพือดังชัดเจนเป็นจังหวะ เมื่อหยุดกระพือก็กางปีกกรีดลมส่งเสียงหวีดหวือ ที่เขาฝั่งตรงข้ามมีนกเงือกอีกหลายตัวบินโฉบจากต้นไม้หนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง…ต้นหนึ่ง..
      เย็นนี้เลยได้เมนูเด็ดปลากั้งต้มพริกแกงใต้(ผู้เขียนตั้งชื่อเอง) โดยมีพริกแกงใต้จากพี่นิมและตามมาปรุงเอง พี่หวานส่งหัวปลาเข้าปากแทะหัวแล้วหัวเล่า บาปนะเนี่ย..ที่แย่งเค้ากิน..
      ตกดึกให้โอกาสน้องอั้มแก้ตัวอีกครั้งในการอยู่เวรยามแต่ก็ยังสลึมสลืออยู่เหมือนเดิม เฮ้อ…ก่อนหลับแว่วเสียงเพลงหลับตา…เก็บฝัน ของ คาราวาน จากพี่หน่องสุดแสนจะรับกับอารมณ์ผู้คนบนเส้นทางยาวไกลอย่างนี้จริงๆ

…….เรามาเจอกัน จากวันนั้นมาจบ วันนี้ หลายปี ห่างหาย
เคยแรมรอนฝ่าไฟร้อน ปีนป่าย เขาสูง เหวลึก ผาชัน
ความทรงจำและความหวังคงมั่น ไม่มี วันแตกสลายไป
คงมีเธออยู่เสมอเลยเพื่อน แม้กาลเวลา ลบเลือนลงไป
ทางยังยาวไกลอีกตั้งหลาย ล้านก้าว ลุยลำธารไต่ขุนเขา
การเดินทางอาจอ้างว้างเปลี่ยวเปล่า บางครั้ง เหงาเหงา ลำพัง
กลางพงไพรเก็บคืนไว้ในผืนหล้า คราบน้ำตา แต่หนหลัง
รอยกวีที่เขียนไว้ยังอยู่ ดูเข้มขลัง จริงจัง….

………………………………………………………………………………….

วันกลับ…………………       สายๆ วันที่แดดสดใสอย่างนี้ ใครเล่าจะไม่อยากลงอ่างเอวาซองเล่นน้ำ กรึ๊บสุราให้เพลิดเพลินก่อนจะจบการเดินทางครั้งนี้ แม้แต่น้องฝ้ายยังมาป้วนเปี้ยนอยากเล่นบ้างแต่พี่ๆ ไม่รู้จักเกรงใจ เลยไม่รู้ไปแอบเล่นน้ำแอ่งไหน(ถ้ารู้จะตามไปดู)         บ่ายโมง หลังจาก“ซ่องเสพ” (ขอใช้สำนวนมหากวีนพรัตน์นีสนึง) ธรรมชาติจนสำราญกันแล้ว เราบอกลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักดูแล ให้เรารอดปลอดภัยมาได้อีกครั้งและขอบพระคุณที่ท่านยังกรุณาไม่มาปรากฏให้เราเห็น หลายคนเดินเบาสบายๆ ลงเขาตามเส้นทางที่คุ้นชิน แต่การเดินลงทางชันก็ทำให้ไขข้อของบางคนย่ำแย่เหมือนกัน ที่มอมะกอกขณะหยุดพักครึ่งก็มีท้องหลายท้องลั่นโครกครากแถมยังมีเนินสุดท้ายขึ้นสู่โบสถ์วัดพระอาจารย์แดงที่เหมือนยาวไกลเดินไปไม่ถึงสักที สุดท้าย…ทริปนี้จบด้วยการเข้าไปกราบพระอาจารย์แดงได้รับคำเตือนสติมากมาย แต่ที่ได้จริงๆ คือขนมนมเนย ชอคโกแลตรสเลิศที่เรียกพลังกระชุ่มกระชวยได้อย่างดี….สาธุ

………………………………………………………………………………………………
๑ อ่านเพิ่มเติมได้จากบท  “ลิ้นมังกร วันแม่” ,  “Trip Report 1″ , “Trip Report 2”
๒ อ่านเพิ่มเติมได้จากบท  “โปรโมชัน เดินป่าเที่ยงวันยันเที่ยงคืน”

เด้าลมหลังแอ่น
๑๖ ส.ค. ๕๕

ปิดการแสดงความเห็น