เรื่องเล่าของดาวสีแดง…(๙)

๑๘.) เรียกเขาว่าเนินมรณะ
ดูเหมือนว่าปากช่องกับกรุงเทพฯ ห่างกันแค่ลัดนิ้วมือ พวกเราจึงมีโปรแกรมเดินป่าเขาใหญ่อย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาเพียงแค่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ของเดือนพฤศจิกายน พวกเราก็พร้อมในการแบกเป้ออกเดินทางกันอย่างพร้อมเพรียง
ครั้งที่แล้วกลับจากเขาสมอปูน กลิ่นป่าเขาและควันไฟยังลอยอบอวลอยู่ในห้อง ผ่านเวลามาไม่กี่สัปดาห์เราก็จะออกเดินทางกันอีกแล้ว
…โปรแกรมการเดินทาง ใช้เวลา ๒ วัน ๑ คืน ครั้งนี้พวกเราจะไปเดินทางไปยังน้ำตกมะนาวใหญ่ มีรถโฟร์วิลไดรฟ์ขับพาตะลุยทุ่งหญ้าคาสูงท่วมหัวมาส่งยังชายป่า โดยขึ้นมาทางหลังวัดมกุฎฯ
เราแบกกระเป๋ากล้องมาด้วยน้า… โดยหวังว่าจะทดลองถ่ายภาพน้ำตกโดยใช้เลนซ์ซอฟท์ และจากประสบการณ์ในการเดินป่ามา ๒ ครั้ง ทำให้ประเมินกำลังตัวเองเอาไว้ค่อนข้างสูง
เพียงแค่เนินเขาเนินแรกก็แทบเอาตัวไม่รอด ด้วยระยะทางของทางลาดชันต่อเนื่อง ขนาดมีเชือกมนิลาผูกโยงไว้สำหรับพยุงตัวเวลากำลังขาหมดก็ยังแทบจะช่วยอะไรไม่ได้
หน้ามืดอ่ะ… เพิ่งจะรู้ว่าอาการของคนจะเป็นลมนั้นเป็นอย่างไร พี่หน่องเห็นอาการเป๋เป็นคนแรก ดึงกระเป๋ากล้องหนักอึ้งบนบ่าเราออก พร้อมกับช่วยปลดเป้บนบ่า
…เสียงหัวเราะดังมาจากเด็กชายอายุ ประมาณ ๑๐ ขวบ ดังแว่วในหู ทำให้เราฝืนตัวเองค่อยๆ นั่งลงบนขอนไม้ใหญ่ แทนที่จะร่วงลงเหมือนนางเอกละครไทย
ครั้งนี้มีเด็กร่วมเดินทางมาด้วยกัน ๒ คน น้องเฟิร์น ลูกชายพี่หน่อง และน้องบอล ลูกชายโก๋เด๊ะ พวกเขาทั้งสองเดินแข่งกันมา วิ่งแข่งกันไปอย่างสนุกสนาน ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าให้เห็น ซ้ำยังแสดงน้ำใจอาสาแบกเป้ให้อีก รู้สึกอายเด็กอ่ะ…
พอถึงไหล่เขาทางเดินเริ่มมีทางราบสลับกับเนินเขา พร้อมกับคลองน้ำที่ต้องเดินข้าม และบางช่วงต้องลัดเลาะไปตามลำธารทำให้เดินได้ง่ายขึ้น พวกอยู่รั้งท้ายก็ยังร่ำสุรากันเหมือนเคย
….ทางเดินขึ้นไปน้ำตกมะนาวใหญ่ไม่รกเรื้อเหมือนทางเดินไปน้ำตกตาดตาภู่ อาจเป็นเพราะต่างฤดู หรืออาจจะเพราะต่างเขตของพื้นที่ก็เป็นได้
 สายฝนเริ่มโปรยปรายทายทักคนมาเยือน เราดึงเอาเสื้อกันฝนที่เพิ่งจะได้ใช้งานในครั้งนี้ออกมาเตรียมพร้อม จู่ๆ สายลมก็หอบเมฆหม่นให้จางจากไป พวกเราต้องปีนหน้าน้ำตกสูงชันเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนจะถึงที่พักแรมในคืนนี้ก็เป็นเวลาพลบค่ำพอดี
….พวกเราสนิทสนมกับพวกเขาจนกลายเป็นเหมือนพวกเดียวกัน พวกเราซื้อเหล้ามาหนึ่งลัง ขอย้ำ ๑ ลังนะคะ เตรียมไว้สำหรับพวกเขา เพราะถ้าเหล้าหมด พี่โก๋เด๊ะคนนำทางจะเกเร แกบอกว่าเหล้าหมดกลางคืน ก็จะพา ลงกลางคืน เพราะกลัวว่าจะต้องได้เดินป่าเวลากลางคืนก็เลยต้องเตรียมให้พร้อม
พวกเราอาสาเป็นคนทำอาหารเอง และสนุกสนานกับการเรียนรู้การหุงข้าวด้วยหม้อสนาม การปรุงอาหารด้วยกองไฟ ส่วนการเล่นน้ำต้องพับโครงการเอาไว้ในกระเป๋าเพราะอากาศหนาวและน้ำเย็นเจี๊ยบ
…คนนำทางก็เลยตั้งวงเหล้ากันตั้งแต่หัวค่ำ เสียงร้องเพลงรอบกองไฟ ดังขับกล่อม คนทำกับ ข้าวก็ตั้งใจปรุงสุดฝีมือ
เราเดินมาจนเหนื่อยแล้ว ขอนอนเอนหลังสักพักก็แล้วกัน ไม่สนกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ขออาสาเป็นคนกิน และค่อยไปช่วยล้างจานตอนท้ายรายการก็แล้วกันนะ

๑๙.) เดินป่าหน้าฝน
….แม่ได้ข่าวเรื่องเราชอบไปเดินป่าจากรายงานของพี่สาว ทำให้แม่เราแปลกใจกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของเราเป็นอย่างมาก ขนาดลงทุนลองนอนในถุงนอนของเราว่าเป็นอย่างไร ปรากฏว่าแม่เข้าไปนอนได้ไม่เท่าไรก็บอกอึดอัดทนไม่ไหว เรานอนเข้าไปได้อย่างไร กระทั่งนอนกลางป่า บนโขดหินแข็งและเย็นเยียบ
……
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราไม่สามารถตอบคำถามของใครต่อใครได้ ว่าการไปเดินป่าเราได้อะไร หลายคนอาจมองเห็นความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความยากลำบากในเรื่องอาหารการกิน ความสะดวกสบายในเรื่องที่หลับนอน กระทั่งปัญหาใหญ่ที่ใครต่างก็ถามว่า แล้วเข้าห้องน้ำกันอย่างไร
…โอ๊ย…ห้องน้ำกว้าง บางครั้งเราตอบไปเพียงแค่นี้ ก็จริงอ่ะ… มีต้นไม้น้อยใหญ่เป็นข้างฝา มีท้องฟ้ากว้างเป็นหลังคา มีสายน้ำธรรมชาติเป็นน้ำชำระล้าง ก็ความจริงของการเดินป่าเป็นอย่างนี้ ทำให้หญิงสาวหลายนางอยากลองมาเดินบ้างแต่พอได้ข้อมูลเกี่ยวกับห้องน้ำอย่างนี้ก็เป็นอันบอกลากันอย่างไม่ใยดี
…..พี่โก๋เด๊ะเดินนำหน้าพวกเราไปบ่นไป ทำเสียงบอกอาการเหนื่อยหน่ายว่า พวกเราจะมากันทำไมนักหนา แต่สีหน้าและแววตาสดชื่น เราว่าแกเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ดีคนหนึ่ง สนุกสนานร่าเริงกับนักท่องเที่ยว ไม่ชอบพูดเรื่องมีสาระ แกบอกว่าแกความรู้น้อย ไม่ชอบอยู่ที่ทำการ ถ้ามีงานสำรวจป่าไม่ต้องเชิญแกขันอาสาเต็มกำลัง
…..เดินป่าหน้าฝนใครว่าสนุก ทั้งลื่น ทั้งแฉะ ป่าก็รก แกยังบ่นไม่เลิกขณะเดินลุยน้ำนำหน้าไปอย่างไม่รีบร้อน ครั้งนี้พวกเราจะมุ่งหน้าไปพิชิตยอดเขาแหลม ยอดเขาสูงระดับท็อปทรีของยอดเขาบนเขาใหญ่
…ครั้งนี้เรามีหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งร่วมเดินทางมาด้วย แค่เห็นหน้าไม่ต้องฟังเสียงพูดคุยเราก็รู้ว่าพวกเขาพากันเดินทางไกลมาจากแดนด้ามขวานของเมืองไทย หัวหน้าแก๊งเป็นอดีตเด็กค่ายจากชมรมชาวเขา ม.รามคำแหงอีกเช่นกัน
…..ระหว่างพักกินกาแฟ พวกเขาเข้ามาคุยเพื่อทำความรู้จักสัมผัสได้ถึงมิตรไมตรีมากกว่าอย่างอื่น เรารู้สึกสนิทสนมกับคนพวกนี้เหมือนดั่งว่าเคยรู้จักคบหากันมาก่อน
….ไม่มีการช่วยถือเป้ เพราะทุกคนต่างต้องช่วยเหลือตัวเองอย่างทุลักทุเล ไม่เว้นเพศ ชาย หรือหญิง ผู้หญิงตัวเล็กกว่าอาจได้เปรียบในบางช่วงของการเดินทาง ถ้ามีใครสักคนพลาดพลั้งลื่นหกล้มกลิ้งไปไม่เป็นท่า ก็จะได้ยินแต่เสียงหัวเราะของคนเดินตามเวลาช่วงลงเขาดังสนั่นอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจ
….เราจะเห็นรอยลื่นลากยาวเรื่อยไปตลอดทาง หนุ่มเหน้าชาวใต้ของเราหมดสภาพกันถ้วนหน้า บางคนรับอาสาถือหม้อสนามก็ทำเอาหม้อสนามเขาบุบจนบูดเบี้ยว กางเกงกับเสื้อดูไม่ออกว่าที่ใส่มาตอนก่อนออกเดินทางนั้นสีอะไร เพราะมันกลายเป็นสีโคลนกันหมด
….เราเพิ่งรู้ว่าเราได้อะไรจากการเดินป่า คนเราต้องมีสติในทุกย่างก้าวของเท้าเราเอง ก็เหมือน กับชีวิต ถ้าเราไม่มีสติ พลาดพลั้งไปมันอาจไม่เพียงแค่หกล้ม คลุกดินโคลน เพราะในป่ามันอาจหมายถึงชีวิตก็เป็นได้

ความเดิมตอนที่แล้ว …

เรื่องเล่าของดาวสีแดง…(๙)

 

ปิดการแสดงความเห็น