เรื่องเล่าของดาวสีแดง…(๗)

๑๓.)เมื่อลมหนาวพัดผ่าน

……..
ทริปนี้มีเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯมาด้วย ๓ นาย หัวหน้าใหญ่คือ โก๋เด๊ะ หนุ่มลูกสองสูงใหญ่ ยิ้มฟันขาวปากคม ตอนมาถึงที่พักก่อนค่ำ เขาพาพวกเราไปเดินชมดอกไม้ ชมวิวทิวทัศน์ ไปถ่ายรูปหน้าผา

ทำการบ้านกันมาอีกแล้วค่ะ ไปหาซื้อหนังสือดอกไม้บนเขาสูง เมื่อเห็นดอกไม้เราก็ถามเจ้าหน้าที่
.. นี่ดอกอะไรคะ…
… ไม่รู้..
… นี่ต้นอะไรคะ
….ไม่ทราบ
คือไม่ได้ติดหนังสือมาด้วยกลัวหนักค่ะ บางชนิดเคยเห็นในหนังสือแต่จำชื่อไม่ได้ และมีอีกมากมายไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน คิดไปเองว่าเจ้าหน้าที่คงจะรู้ ถามไปกี่ดอก กี่ชนิดก็ได้รับคำตอบเดิม

แค๊มป์พักแรมของเราคืนนี้ ปักหลักกันอยู่ใกล้หน้าผา เป็นทางผ่านของลมจากทั่วสารทิศ ภูมิประเทศของยอดเขาเป็นที่ราบกว้าง ไม่มีต้นไม้ใหญ่มีเพียงทุ่งหญ้ากว้างล้อมรอบ
….เราไม่รู้ว่าตัวเองผ่านความหนาวเหน็บของอากาศเมื่อคืนมาได้อย่างไร เท่าที่จำได้ทั้งผ้าห่มกับถุงนอนไม่ได้ช่วยอะไรเลย ลมพัดวูบมาแต่ละระลอกเหมือนนำความหนาวเย็นเข้าไปจนถึงกระดูก
….รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาจากคนรอบกองไฟ เสียงกีตาร์ เสียงร้องเพลงคลอเบาๆ ในสายลม เราไม่ได้ยินเสียงเพื่อนเราแหกคีย์ร้องคลอไปด้วยเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ก็เห็นนั่งหัวเราะร่วนอยู่กับพวกเขาจนดึกดื่น ไม่หนาวกันเลยหรือไร
…. เพิ่งมารู้ในตอนหลังว่า หน้าหนาวบนยอดเขา มีเพียงกองไฟลุกโชนเท่านั้นที่จะขับไล่ความหนาวเย็นได้ นอกนั้นก็คือ ดีกรีจากแอลกอฮอล์ ที่พวกเขาเปิดขวดแล้วขวดเล่านั่นเอง

๑๔.)กลางทุ่งหญ้ามีดอกไม้บาน

นั่งดูพวกเขาเก็บสัมภาระใส่เป้เพื่อออกเดินทางต่อด้วยความรู้สึกแบบใหม่ พวกเขามีเรื่องสนุกในทุกกิจกรรมก็ว่าได้ แค่เก็บของลงเป้ ก็เป็นเรื่องสนุก เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเก็บของหนักใส่เป้ แต่เป็นเป้ของคนอื่นอย่างตั้งใจ คนตายใจคือเจ้าของเป้จำเป็นต้องแบกของหนักอึ้งเพราะไม่ทันระวังตัว การชิงไหวชิงพริบกันเกิดขึ้นให้เห็นตลอดการเดินทาง คนเสียเปรียบก็ยอมรับสถานะของตัวเอง แต่มีการเอาคืนกันในเรื่องอื่นต่อไป

การเดินเท้าผ่านทุ่งหญ้าในวันนี้ เราตัดสินใจเดินตาม โก๋เด๊ะ เจ้าหน้าที่คนนั้น เพราะเขาขำสุดๆ แต่ไม่ใช่ เพราะพวกเขาทั้งหมดส่งไม้ รับมุกกันได้อย่างลื่นไหล ทุ่งหญ้าบางช่วงสูงเกือบท่วมหัว ขบวนคนเดินป่าเดินแถวเรียงหนึ่ง มองดูเป็นเหมือนดังสายน้ำคดเคี้ยว เราเดินไปขำไปตลอดทาง

ผ่านทุ่งหญ้าสูงทะลุผ่านดงไม้ทึบระยะหนึ่ง จากนั้นเป็นทุ่งหญ้าฉ่ำน้ำ มีดอกไม้หลากหลายชนิดเบ่งบาน แข่งกันชูช่อ อาจารย์ปู่ กลายเป็นปรมาจารย์ด้านดอกไม้บนเขาตัวจริง เมื่อเขาเอ่ยนามของดอกไม้นานาชนิด เหล่านั้นเป็นการแนะนำให้พวกเราได้รู้จัก ดูเหมือนว่า ดุสิตา จะเป็นเจ้าถิ่นเพราะ ชูช่อสีม่วงสะพรั่งเต็มไปหมด

ถึงที่พักแรมคืนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเดินทางมาไกล หรือใกล้ขนาดไหน มีคลองน้ำขนาดเล็กไหลผ่านแค้มป์ บนพื้นมีพรมธรรมชาติสีเขียวหนานุ่ม พวกเขาเรียกที่พักในคืนนี้ว่า สระอโนดาต นัยว่ามีแอ่งน้ำคล้าย จากุชชี่ ให้อาบน้ำตามธารน้ำไหล

จำจากไปไกล ด้วยใจแสวงหา สิ่งที่หวังวางอยู่ข้างหน้า ฝากคำอำลา ฝากความอาลัย …เสียงกีตาร์เพราะพริ้งดังกังวานขึ้น พร้อมกับเสียงร้องนุ่มหู เรานั่งพักพิงโขดหินปล่อยให้ลมเย็นพัดเป่าเหงื่อตามไรผม ต้องหันไปดูต้นเสียง หนุ่มเจ้าของน้ำสไปร์ทคนนั้นเอง ดูเหมือนว่าเขากำลังมองเราอยู่ สบตากับเขาอย่างจัง ไม่มีรอยยิ้มในสีหน้าและแววตาของเขา ไม่มีร่องรอยอะไรในใบ หน้านั้น
ดูเหมือนว่าเขากำลังแกะโน๊ตเพลงนี้อยู่ และเรารู้สึกว่าเขาร้องเพลงนี้เพราะกว่าต้นฉบับของมาลีฮวนน่าเสียอีก
…พี่หน่องร้องไงต่อ เขาหันไปถามพี่นักดนตรีผมยาวหน้าแขกที่นั่งพักห่างออกไป
…ถามพี่เขาสิ เขาร้องได้ …พี่หน่องคนนั้นผลักภาระมาให้เราหน้าตาเฉย
เราเลยต้องแสดงภูมิเสียหน่อย เพื่อนๆ อุตส่าห์พากันฝึกปรือมาให้อย่างดี
…โลกนี้ช่างสับสน ผู้คนผู้สร้าง… เราบอกเขาไปอย่างนี้ และเขาก็เล่นต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตายล่ะ เราเพิ่งรู้ตัวว่าเราบอกเขาผิด นี่มันอีกเพลงหนึ่ง ไปไกล …กับหัวใจละเหี่ย.. เฮ้อ…อายซะ…
๑๕.)หนึ่งเดียวคนนี้

ครั้งนี้มีแม่ครัวใหญ่ร่วมเดินทางมาด้วย ได้ยินเสียงก่นด่าถึงความเหนื่อยยากในการเดินมาตลอดทาง ตั้งแต่ข้ามเนินเขาลูกแรก แกก็ปาถุงถั่วฝักยาวทิ้ง พวกเดินตามหลังต้องตามเก็บกันโกลาหล จากนั้นก็เป็นหม้อสนาม จานชามแกทำการโหลดน้ำหนักสัมภาระของตนเองอย่างนี้มาตลอดทาง จนถึงที่พักแกเหลือเพียงเป้เกลี้ยงๆ ของตัวเองใบเดียว

แม่ครัวของเรากินเหล้าเก่งพอกับการทำกับข้าว ปากตรงกับใจเสียจนขนาดอาจารย์ปู่ต้องยอมให้คนหนึ่ง แกปล่อยสิงห์สาราสัตว์ ออกมาเต็มป่า บ่อยครั้งที่เห็นแกยกเท้าถีบโครมเมื่อพวกน้องๆ กระเซ้าเล่นแล้วแกรับมุกพวกเขาไม่ทัน
…. เอ้า!… แกโยนถุงถั่วฝักยาวมากองตรงหน้าเรา พร้อมกับบอกว่า เอาไปล้าง เรามองเห็นถั่ว ฝักยาวมอมแมม เพราะตรากตรำเดินทางมาพร้อมกับพวกเราแล้วขำ เนี่ยคงโดนโยนไปโยนมาหลายรอบ ก็เลยบอบช้ำได้ขนาดนี้

ธารน้ำตกเล็กๆ ไหลคดเคี้ยว พี่หน่องคนเดินตามมาบอกพวกเรา ว่าให้ไปล้างผักล้างจานชามกันตรงไหน ไปห้องน้ำหนักเบากันละแวกไหน ส่วนต้นน้ำคือตรงที่เรานอนพักจะเป็นส่วนที่เราใช้รองน้ำสำหรับดื่มกิน
พวกเราเดินหิ้วผักถุงใหญ่ พร้อมจานชามใช้แล้ว เดินตามกันไปตามทางเดินเล็กๆ ข้างลำธาร ผ่านโค้งน้ำตรงพวกเราเล่นกันมานิดหน่อยก็เจอโขดหินยื่นลงไปในน้ำ ตรงนี้แน่เลยสำหรับล้างจาน ถ้าจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเดินเลยไปอีก

เสียงตะโกนเรียกหาถั่วฝักยาวจากแม่ครัวใหญ่ดังข้ามมาจากกองไฟ ถึงหูของพวกเราอย่างถนัดชัดเจน จากพากันล้างไปเล่นไปจนต้องพากันเร่งมือ
เราถูกสั่งให้หั่นถั่วฝักยาวสำหรับผัด คนอื่นๆ ได้รับมอบหมายงานกันถ้วนหน้า พวกเขาคงเห็นว่าถ้าไม่ใช้ รอให้พวกเราสำนึกกันเองคงต้องรอชาติหน้ากระมัง
แม่ครัวของเรามือหนึ่งทำกับข้าว ปากตะโกนด่าน้องๆ ที่รินเหล้าช้าไม่ทันใจ!!!

เรื่องเล่าของดาวสีแดง…(๖)
 

ปิดการแสดงความเห็น