ตามหาลิ้นมังกร วันแม่

ตามหาลิ้นมังกร วันแม่รักแม่ไหม ?…รัก รักเท่าไหน ?…เท่าฟ้า อยากจะกลับเป็นเด็กไปตอบแม่อย่างนั้นอีก แต่ถ้าทำตอนนี้แม่แกคงสงสัยลูกเพี้ยนอะไรขึ้นมา …

วันแม่ปีนี้(2553) ทำให้เกิดวันหยุดได้ยาวสี่วันสำหรับลูกขี้เกียจ พวกเราจึงรวมตัวกันได้เจ็ดคนที่คันมือคันเท้าอยากเดินเข้าป่าหลังบ้าน(Backyard) ก็เป็นอย่างนี้กันประจำถ้าไม่ได้ไปไหนนานๆ พอได้เข้าป่าก็หายคันมือคันเท้า แต่อาจทั้งปวดทั้งคันทั่วตัว ทั้งเจ็ดประกอบด้วย ‘จารย์นพ หมออุ๊ เจ๊ท ยุ้ย อั๋น ชุดนึงและสมทบด้วย พี่หน่อง(พี่แขก)กับนิม ใครมีความเป็นความมาอย่างไรนั้นบอกในที่นี้ก็ไม่หมด ไว้ค่อยๆ รู้จักทีละนิดๆ ค่อยเห็นความน่ารักน่าชังภายหลังตามหาลิ้นมังกร วันแม่

ที่หมายของเราครั้งนี้คือ“ผาด่านช้าง” ถือเป็นเส้นทางอุ่นเครื่องสั้นๆ เริ่มจาก“วัดมกุฏคีรีวัน” ตีนเขาใหญ่ฝั่งปากช่อง เราจึงเรียกเส้นทางเดินนี้ว่าเส้น“หลังวัดพระอาจารย์แดง” เพราะพระอาจารย์แดง ครูบาอาจารย์  ของพวกเราเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้

ก่อนนี้ต้องเริ่มเดินจากที่วัด เดี๋ยวนี้สบายที่เราสามารถขับรถเลียบเส้นทางลูกรังรอบเขาใหญ่ เลี้ยวเข้าตามแนวป่าปลูกของหน่วยเท่าที่สมรรถนะรถและใจไปถึง ส่วนมากจะจอดรถบริเวณป่างิ้ว แวะปีนต้น เอ้ย! จัดแจงแต่งองค์แล้วจึงเริ่มเดินตามเส้นทางรกชัด(หมายถึงมันรกแต่ยังเห็นชัดเจน) พอเริ่มเหนื่อยเหงื่อซึมก็จะถึงจุดพักแรก“มอมะกอก” ที่เป็นลานอยู่ไหล่เขามีต้นมะกอกสามต้นให้ร่ม นั่งพักรับลมเย็นเก็บสะสมไว้ปล่อยออกทางหูในช่วงเดินต่อไป มองกลับไปเห็นเจดีย์วัดขาวสง่าอยู่ไกลๆ ทางช่วงต่อไปแคบให้เดินเรียงเดี่ยว แถมชันน้อยสลับชันมาก วันที่พวกเราเดินมีเด็กนักเรียนนับร้อยเดินสวนลงมา สอบถามได้ความว่ามาจากกรุงเทพฯ ไปดูวิวข้างบนมา เด็กๆ เห็นพวกเราแบกเป้และอุปกรณ์ต่างๆ ทำหน้าแปลกใจ ส่วนพวกเราดูเด็กๆ แล้วได้แต่ทำหน้าชื่นใจ

ตามหาลิ้นมังกร วันแม่ตามหาลิ้นมังกร วันแม่

   เดินไปพักไปงวดนี้ไอ้ยุ้ยมันเอาจริง เดินสิบก้าวมันหยุด หอบเอาเป็นเอาตาย เดินอีกห้าสิบก้าวมันทิ้งตัวหลับไปเลย หลับจริงๆ กรนลั่นป่า กว่าจะผ่าน“มอขี้แตก” ขึ้นสู่หลังแปได้มันคงได้เลขเด็ดๆ หลายตัว

ตามหาลิ้นมังกร วันแม่

ถึงที่พักยังไม่ทันไรก็ฟังหมออุ๊แกเล่าเรื่องผจญภัยของแกก่อน สดๆ ร้อนๆ ปกติหลังจากเดินยาวและชันมา เราจะเดินตรงลงลำห้วยก่อน วักน้ำใส่หน้าใส่ตัวให้สดชื่นจึงเดินเลาะทวนลำน้ำตัดเข้าหาที่พักเดิมที่ใช้ประจำ หมออุ๊แกใจร้อนตัดตรงเข้าหาที่พักเลย โดยดูหมายจากต้นไทรใหญ่ที่เราดูทุกครั้ง ทางเดินจะรกกว่าเดินทางน้ำ แกเดินถึงต้นไทรใหญ่ก็เห็นว่างานเข้าแล้ว ต้นตะแบกใหญ่ริมน้ำที่เคยใช้ผูกเปล ผูกผ้ากันฝนมันล้มลง พลอยดึงไม้เล็กไม้น้อยรอบนั้นล้มทับทางน้ำ ด้วยความตกใจ แกมุดเข้าหาลานที่พัก ตรงจุดที่ควรราบเรียบกลับระเกะระกะด้วยกอไม้และเถาวัลย์ เพราะไม้ใหญ่ล้ม ธารน้ำเปลี่ยนทางเหลืออยู่น้อยนิด เกิดผลกระทบขยายวงออกไป เรามนุษย์ตัวกระจ้อยก็ต้องรับด้วย ว่าแล้วแกจึงถอยกลับมาเพื่อหารือรับมือสถานการณ์ ออกมาแล้ววกเข้าตามเสียงน้ำหน่อยเดียว ธารน้ำก็กลับมาไหลเป็นปกติ เดินทวนทางน้ำไปก็เห็นต้นไทรใหญ่ต้นเก่า ตะแบกเจ้าปัญหายังยืนเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ลานพักก็ถูกจับจองด้วยเจ้าเจ๊ทกะไอ้อั๋นนอนเอกเขนก แกเลยเริ่มเล่าว่า “เมื่อกี๊กูตัดเข้าผิดห้วย…..ตามหาลิ้นมังกร วันแม่

ไม่นานพี่หน่องกะนิมก็ ตามมาสมทบหลังจากประสานงานปลูกป่า ความซวยของทริปนี้คือมีไอ้ยุ้ยเป็นพ่อครัว มันลืมน้ำมันพืช บรรดาของอร่อยต่างๆ ที่ต้องอาศัยการทอดให้เหลืองหอม ต้องคั่วหรือปิ้งแทน แม้แต่ผัดผักก็อย่าหวังจะได้กินดีๆ ยุ้ยยังมั่นคงบอกทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง แต่ใครๆ ก็ต้องห่วงว่ามันจะทำอะไรแผลงๆ ให้กินอีก เพราะมันมีประวัติต้มยำใส่มะนาวทั้งลูกมาแล้ว ไม่ได้เอามะนาวมาฝานบีบใส่จนหมดลูกนะ มันทิ้งมะนาวทั้งลูกต๋อมลงไปในหม้อต้ม ไม่มีใครเห็นจนกระทั่งกินกันนั่นแหละ ครั้งนี้มันก็ยังทำเรื่องด้วยเมนูต้มจืดผักรวมมิตรหอยลาย โดยมันใช้ผักจากถาดโฟมที่ทำขายสำหรับผัดผักรวมลงหม้อต้มน้ำพร้อมหอยลายสองกระป๋อง ตอนตักขึ้นมาบางช้อนเป็นกระหล่ำต้ม ดอกกระหล่ำบ้าง แครอทแผ่นหยักต้ม ถั่วลันเตาต้ม จะเลี่ยงไปซดน้ำก็ได้กลิ่นเขียวของผักปนรสปูเลี่ยนๆ ของหอยลาย จะตักหอยกินก็จืดไร้รส เพราะจางไปกับน้ำแล้ว เปิดกระป๋องกินเปล่าๆ คงไม่เสียของอย่างนี้

ดีที่วันถัดมามีหลวงพี่หลายรูปขึ้นมาเที่ยว อย่าหาว่ามาธุดงค์นะ หลวงพี่รูปหนึ่งสะพายอาหารกล่องมาหลายอย่างถามเราว่ากี่โมง เราเพิ่งงัวเงียมาดูนาฬิกาตอบท่านไปว่าเที่ยงครึ่งแล้วครับ หลวงพี่จึงปลดกล่องอาหารที่สะพายมาให้เรา บอกเราว่าเลยเพลแล้ว เก็บไว้กินกันนะ และเป็นหลักปฏิบัติเมื่อพระถวายอาหารเราก็ต้องรับมาฉัน แก้ขัดกับข้าวไอ้ยุ้ยไปเยอะ

อ่านถึงนี้เข้าวันที่สองแล้วนะ ซึ่งชีวิตมักเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อใกล้เที่ยง เพราะในพวกเราคนสุดท้ายกว่าจะเข้านอนก็ใกล้เช้า คนตื่นแต่เช้าพอล้างหน้าล้างตา ชมนกชมไม้จนหมดป่า สายๆ เข้าไม่รู้จะทำอะไรกับแดดอุ่นๆ ลมเย็นๆ ก็ได้แต่นอนอีก อย่างว่า-เรามาพักผ่อนน่ะ

ถ้าถามว่าวันอย่างนี้ตอนบ่ายทำอะไร? ตอบให้ว่า ทำอะไรก๊อทำ.. ยามบ่ายใครอยากหามุมสงบอยู่เงียบๆ คนเดียว ก๊ออยู่ไป ใครอยากชวนใครไปเดินดูน้ำตก ดอกไม้ ทิวทัศน์ ก๊อตามสบาย แดดบ่ายกวักมือชวนใครให้เล่นน้ำเย็นๆ ก๊อเล่น อะแฮ่ม! ใครจะตั้งวงก๊งเหล้าถกปัญญา สร้างปัญหาการมุ้ง การเมือง ยุทธจักร ก๊อเชิญตามสะดวกแต่อย่าลืมตามข้าพเจ้าด้วย

การตามหาลิ้นมังกรตามที่จั่วหัวนั้น เป็นข้ออ้างเล็กๆ เพื่อการชักชวนพรรคพวกมาเที่ยวครั้งนี้มากกว่าจะมาเดินหาจริงจัง หลายครั้งที่พวกเราขึ้นมาโดยไม่ต้องมีจุดประสงค์ใดๆ เลย  ให้คนถามเล่นๆ ว่าเส้นทางเก่าเดินแล้วเดินอีกไม่เบื่อหรือ? เพราะคนมากมายถ้าเคยไปที่ไหนแล้วก็อยากไปที่ใหม่เรื่อยๆ ไม่ชอบซ้ำ สำหรับพวกเราซึ่งไม่มีโอกาสเป็นนักท่องเที่ยวดีเด่นของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพราะเราไม่มีกะตังค์ไปเที่ยวที่ใหม่เรื่อยๆ อย่างเขา ที่สำคัญเราตั้งใจมาเที่ยวบ้านญาติมิตรของเรามากกว่า เพราะเรารู้สึกว่าป่าโดยเฉพาะเขาใหญ่เป็นทั้งญาติ เพื่อนและครู ของเรา

เรายอมรับว่าเราไม่ใช่คนป่าที่จะเรียกป่าเท่ๆ ว่า”บ้าน” ได้ เพราะอย่างไรเราก็เป็นคนเมือง เพียงแต่ทุกครั้งที่เข้ามาในถิ่นที่เก่าๆ เรารู้สึกว่าต้นไทรยักษ์เป็นปู่ทวด ตะแบกใหญ่เป็นพี่ นกเด้าลมหลังเทาที่กระดกก้นตามลำธารเป็นเพื่อน ยังมีฝูงนกเงือกสีน้ำตาลที่เป็นเพื่อนขี้อายมาเจอกันบางครั้ง ไม่เจอกันก็แล้วไปไม่ตามหาไม่เรียกร้อง และกล้าบอกให้หลายคนผิดหวังได้เลยว่าเราไม่เคยมาเพื่อหาของป่าติดไม้ติดมือไปประดับบ้านหรือฝากใคร

แถมไม่ได้มาตามล่าหาฝันหรือหา_อกอะไร เรา มา..อยู่.. แล้วก็ไป เท่านั้นจริงๆ

อ้อ! “ลิ้นมังกร”

ตามหาลิ้นมังกร วันแม่

เป็นชื่อกล้วยไม้ชนิดหนึ่งหน้าตาน่ารัก ขึ้นตามโขดหินริมธารน้ำ เราไม่ได้สนสรรพคุณว่ามันเพิ่มสมรรถภาพอะไรหรือไม่ ดอกไม้ที่พบแก้คิดถึงก็ยังมีทั้ง เทียนป่า กระเจียวน้อย ว่านตูบหมูบ กระต่ายจาม

…แต่ยังเสียดายที่ครั้งนี้ลิ้นมังกรยังไม่มีดอก….

ความเสียดายลึกๆ อีกประการในครั้งนี้คือไม่มีเสียงกีตาร์จากพี่หน่องกลางป่ามืดข้างกองไฟ ทั้งที่ปากแข็งว่าถ้าแกไม่อยากเล่นก็อย่าเล่น แต่ความรู้สึกที่ว่าเพลงของแกเป็นเสียงประดับป่าได้อย่างพอดี ฟังเพลงของแกที่ไหนก็ไม่เพราะเท่าฟังในป่า และในป่าฟังเพลงใครก็ไม่เพราะเท่าฟังเพลงพี่หน่อง…ชมแกมั่ง ถ้ามีโอกาสคงได้วิเคราะห์วิจารณ์เพลงของแกดีๆ สักที แต่ก่อนอื่นใครยังไม่เคยฟังหรือฟังไม่ซึ้งยังมีเวลาปรับจูนหูและหัวใจตัวเอง

จากการขาดเสียงเพลงทำให้วงถกปัญหาบ้านเมืองยังดำเนินการไปเคล้าฝนพรำๆ แม้แต่กระทู้ที่ว่าถ้าฝนตกหนักเราจะได้นอนไหม? ถึงจะเห็นอยู่ว่าแค้มป์ค่ายที่สร้างขึ้นจะรับมือได้แค่ฝนปรอยๆ กับฝนพรำๆ เท่านั้น

สุดท้ายก็รอด มาสู่วันสุดท้าย วันกลับ พี่หน่องกะนิมต้องลงเขาไปก่อนเพื่อช่วยงานปลูกป่า(สนองความใหญ่โตของใบหน้าของผู้อยากทำความดี) ส่วนพวกเราที่เหลืออยู่รับมือฝนตกหนักตอนสายๆ ด้วยจิตขอบพระคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่ให้ฝนตกหนักเช้านี้ไม่ใช่เมื่อคืน เสียงฝนซ่าไปทั่วป่า ใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนระริกรับเม็ดฝนที่นับไม่ถ้วนตกกระทบ น้ำในธารเริ่มขุ่นข้นไหลแรง ทุกอย่างดูกระฉับกระเฉง เปี่ยมชีวิตและพลัง

ตามหาลิ้นมังกร วันแม่

ฝน….น้ำที่ไม่ต้องซื้อกิน สะอาด บริสุทธิ์
มีก่อนน้ำขวดหลากยี่ห้อที่ขายแข่งแย่งกันบอกว่าน้ำยี่ห้อตัวเองบริสุทธิ์สุดซู้ด..!

ฝน….ตกเปียกทั่วกันทั้งคนดี คนเลว คนมี คนจน คนฉลาด คนโง่
เพียงขอให้มันอยู่กลางแจ้งและไม่กางร่ม

ฝน….ตกใส่ป่า ป่าเปียก

ตกใส่ทุ่งนา ทุ่งนาก็เปียก

แล้วตกใส่ทะเล ทะเลจะเปียกไหม ?..

บันทึก 22 กันยายน 53

ป.ล.แต่ไปมา วันที่ 13-15 สิงหาคม 2553

ปิดการแสดงความเห็น