เรื่องเล่าของดาวสีแดง…(๕)

๙.)น้ำเอย..น้ำใจ

ตื่นเช้าก่อนใครเพื่อน นอนฟังเสียงป่ายามเช้าสักพัก รู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มุดตัวออกมา

จากถุงนอน เพื่อนสองคนที่นอนขนาบข้างยังหลับสนิท จำไม่ได้ว่าเมื่อคืนนี้เผลอนอนหลับไปตอนไหน สำนึกสุดท้ายคือได้ยินเสียงเพื่อนเราหลายคนไปร่วมวงประสานเสียงร้องเพลงรอบกองไฟกับพวกเขาอย่างสนิทสนมกลมกลืน  มองเห็นพวกเขานอนหลับคุดคู้อยู่ข้างกองไฟ หลายคนนอนอยู่บนเปลผูกตามต้นไม้รอบๆ แค๊มป์ที่พัก บางคนหนีไปนอนคลุมโปงอยู่ริมน้ำ ส่วนพวกเรานอนกันบนผ้าใบปูพื้นและมีผ้าใบผืนใหญ่ผูกโยงกับกิ่งไม้เป็นหลังคากันหมอก และฝน โชคดีของพวกเราที่เมื่อคืนนี้ไม่เจอกับฝน ไม่อย่างนั้นคงนึกภาพไม่ออกว่า ไอ้หลังคาที่ว่านี้จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน

เดินไปสูดอากาศยามเช้าริมน้ำ เห็นพวกเขาบางคนลุกขึ้นมาเติมฟืนเข้าไปในกองไฟ จากนั้นก็หอบหิ้วเอาหม้อสนามดำเมี่ยมมาล้างเงียบๆ เราเดินเข้าไปดู ก็ถึงได้รู้ว่าเขาใช้หม้อพวกนี้หุงข้าวให้พวกเรากินเมื่อคืนนี้ เรานั่งดูเขาทำงานด้วยความชำนาญอย่างสนใจ ใส่ข้าวสารลงไปจำนวนเท่านี้ ใส่น้ำปริมาณเท่านี้ เอาไปแขวนเรียงรายบนกองไฟลุกโชน สักพักใหญ่ก็เดือดปุด ใช้ไม้เคาะข้างหม้อเพื่อฟังว่าข้าวเริ่มได้ที่หรือยัง จากนั้นก็ยกลงมาตั้งข้างกองไฟ ฟังดูเหมือนง่ายอ่ะ แต่ทำไม่ได้

รองในกระติกสนามยื่นมาตรงหน้า ได้กลิ่นกาแฟดำหอมฉุย เห็นปริมาณกาแฟในถ้วยตรงหน้า กินหมดเนี่ยสงสัยตาค้างไปสามวัน จิบกาแฟไปพลาง นั่งดูกิจกรรมรอบกองไฟพลางด้วยความใคร่รู้

นายพรานใหญ่ผมยาวหน้าแขก เป็นนักดนตรีใหญ่ เป็นพี่ชายของทหารแขกที่เล่นกีตาร์เมื่อคืน และเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขาทุกคน เดินมาขอกาแฟกิน เรายื่นถ้วยกาแฟในมือให้เขาไป งงไปด้วย เมื่อเห็นเห็นจิบกาแฟ สักพักก็ยื่นถ้วยต่อไปให้อีกคน เราเลยถึงบางอ้อ …กาแฟถ้วยนี้สำหรับทุกคนไม่ใช่ของเรา หรือใครคนใดคนหนึ่ง เฮ้อ…

อาหารเสร็จทีละอย่าง เราได้ ขนมปังทาเนยโรยน้ำตาล บวกกับแคร็กเกอร์และกาแฟ อุ่นเต็มท้องแล้ว นั่งดูกุนเชียงเสียบไม้ไผ่ย่างไฟเรียงรายเป็นระเบียบรอบกองไฟเป็นรายการสุดท้าย เกือบสิบโมงแล้วแต่ยังไม่เห็นแดดเลย เพราะเมฆหม่นมาบดบังท้องฟ้าไปหมด อยากไปอาบน้ำเมื่อเห็นหลายคนเล่นสไลเดอร์บนลานหินกับสายน้ำอย่างสนุกสนาน

หนุ่มหล่อประจำกลุ่มกับสาวๆ อย่างพวกเรานั่นเอง เล่นกันอย่างไม่กลัวน้ำ กลัวโขดหินกันเลย เสียงกรีดร้องดังลั่นเวลาเจ้าหนุ่มใหม่ ตัวใหญ่และหนักจึงตามกระแสน้ำได้เร็วจนตามไปทันพวกที่ไถลไปก่อน สุดท้ายก็ไปตกลงแอ่งน้ำพร้อมๆ กันดังโครมใหญ่ เรานั่งดูไปขำไป ..เฮ้อ ..

หลังจากเล่นน้ำจนช่ำปอดแล้วก็พากันเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดเตรียมเดินทางกลับ สำรับกับข้าววางไว้ตรงที่เดิมที่เรานั่งกินกันเมื่อคืนนี้ พวกเราวิ่งแข่งกันไปหาอาหารอย่างหิวโหย กำลังจะตักข้าวเข้าปากคำแรก มองไปเห็นพวกเขานั่งมองกันอยู่ รู้สึกกระดากเล็กน้อยก่อนจะ เรียกคนที่เรารู้จักมักคุ้นที่สุดมากินข้าวด้วยกัน เป็นการแก้ขวย
…. ใหม่ มากินข้าวด้วยกัน
…. กินกันตามสบายเลยครับพี่ กินกันให้อิ่มเลย …
หางเสียงได้ยินประมาณว่า ใครจะเป็นยังช่าง…งงง
สะอึกค่ะ อาหารวิ่งมาจุกตรงคอหอยเลย พวกเขาดูแลพวกเรา ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง กลางคืนก็อยู่เวรยามสลับกันเฝ้าระวังจนเช้า อาหารก็ทำให้กิน จาน ชามก็ล้างให้ รู้สึกสำนึกเกือบจะน้ำตาไหลแล้ว ถ้าไม่บังเอิญแอบไปชำเลืองเห็นแววขบขันในดวงหน้าของพวกเขา

นึกถึงเมื่อคืนเรากินกันจนเกลี้ยงไม่เหลือหลอ ถึงมื้อนี้เริ่มรู้แล้วว่าอยู่ในป่าคือ น้ำใจและการแบ่งปัน พวกเรากินข้าวกันอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพราะเราจะต้องเหลือแบ่งไว้สำหรับพวกเขาบ้าง
นั่งพักผ่อนรอพวกเขาทยอยมากินข้าวทีละคนสองคนหมดครบคน พวกเรารีบพากันไปเก็บจานชาม ช่วยเขาล้างสักหน่อยก็น่าจะดีนะ

ความเดิมตอนที่แล้ว
เรื่องเล่าของดาวสีแดง…(๔)

ปิดการแสดงความเห็น