เรื่องเล่าของดาวสีแดง…(๔)

๗.)โอ้ จอร์จ ไม่ใช่เจ้าป่าเสียแล้ว

….ทริปนี้เป็นการเดินเท้าเข้าไปพักแรมที่น้ำตกตาดตาภู่ รถโดยสารมาส่งพวกเราลงตรงทางแยกจะไปนำตกเหวนรก เราจะเริ่มออกเดินเท้าจากทางด้านข้างของตึกโภชนาการเก่า(ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติ)
….ใครมีเสื้อกันฝนมาด้วย ให้เก็บเอาไว้ในที่ๆ ดึงออกมาใช้ได้ง่ายและเร็วที่สุด เพราะฝนในป่าจะมาแบบไม่เตือนล่วงหน้า เสียงสั่งลูกทัวร์ดังมาจากนายพรานใหญ่ เป็นลำดับสุดท้าย ก่อนจะสำทับอีกด้วยว่าอย่าพยายามเดินแยกออกไปจากกลุ่ม และจัดแถวเดินด้วยการสลับพวกกันระหว่างพวกเราสองคน คั่นด้วยพวกคนนำทาง
เราเลือกเดินตาม นายพรานร่างสันทัด ผิวขาวเหลืองจะจีนก็ไม่ใช่กระเหรี่ยงก็ไม่เชิง ไว้ผมทรง แอ๊ฟโฟร่ รู้มาว่าเขาเกิดบนเขาใหญ่ พ่อ แม่ พี่น้อง ทำงานอยู่บนเขาถ้วนหน้า ส่วนตัวเขาเองกำลังมุ่งมั่นในการเรียน มนุษยศาสตร์ ENG อยู่ รามคำแหง ปี ๕ แล้วแต่ยังไม่จบสักที

เป้ทหารของเขาอ้วนพีเพราะกินสัมภาระเข้าไปจนแน่นเอี้ยด มือถือมีดสปาต้าขนาดใหญ่สำหรับถากถางทางเดิน ที่เห็นห้อยระย้าอยู่ตามกระเป๋าข้างของเป้เป็นมีดพกขนาดต่างๆ ไม่ต่ำกว่า ๓ เล่ม ฉายาของเขาคือ โหน่งเจ้าแห่งอุปกรณ์ เขามีหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ปืนไปจนถึงเบ็ดตกปลา

เหมือนเรากำลังมองดูมดตัวเล็กๆ ขนเสบียงหนีน้ำอย่างไรอย่างนั้นเลย เขาเดินนำทางเป็นคนแรก ถางกิ่งไม้เถาวัลย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนเดินตาม ….
เป้เราถูกผ่องถ่ายน้ำหนักไปเยอะ จากการเป็นผู้หญิงร่างบาง อรชรดูเป็นผู้หญิงน่าทะนุถนอมกว่าใคร ก็เลยมีคนเห็นใจ แบ่งเบาของจำพวก ข้าวสาร น้ำตาล อาหารกระป๋องออกไปจนหมด จนเป้เราเหลือเพียงถุงนอน ของใช้ส่วนตัว อาหารแห้งจำพวกมาม่า ขนมปังปอนด์ สบายแฮ
เป็นพวกม้าตีนต้น เดินตัวปลิวนำลิ่วอยู่ขบวนหน้าสุด ทางเดินเริ่มรกเรื้อมากขึ้น เหงื่อเริ่มซึมออก มาตามเนื้อตัวทั้งๆ ที่อากาศเย็นสบาย นายพรานหัวฟูให้สัญญาณเราหยุดพัก แต่ตัวเองเดินหน้าไปถางทางอย่างแข็งขัน เสียงร้องดัง โอ๊ย! พร้อมกับเดินลิ่วกลับมาหาพวกเราที่พักดื่มน้ำรออยู่ เกิดอะไรขึ้น พวกเราลุกขึ้นหน้าตาตื่น

นายหัวฟูกัดฟันบอกให้เราเดินย้อนกลับไปทางเดิม เราเห็นปากของเขาเจ่อเป็นครุฑ ไม่ทันสังเกตว่ามีน้ำตาคลอด้วยหรือเปล่า เขาเจอรังต่อและโดนมันต่อยปากเข้าอย่างจัง จะต้องเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่
เราเริ่มคิดได้ ถ้าเราเดินอยู่ทีมหน้าอย่างนี้เราคงไม่พ้นต้องเจออะไรไม่คาดคิดอย่างนี้อีกเป็นแน่ ม้าตีนต้นอย่างเราค่อยผ่อนฝีเท้าลง ทั้งจากความตั้งใจและกำลังในร่างกายเริ่มถดถอย
เกือบหนึ่งชั่วโมงของการเดินทางเราเริ่มถอยร่นมาอยู่ตรงกลางของขบวนแล้ว
เราเดินข้ามคลองน้ำเล็ก มาหลายคลองแล้ว บางคลองระดับน้ำเพียงครึ่งน่อง พวกเขาก็พาพวกเราเดินลุยน้ำมาเลย บางคลองระดับน้ำสูงมีสะพานธรรมชาติเป็นต้นไม้ล้มให้พวกเราได้เดินข้ามฟากโดยไม่ต้องเปียกน้ำ ทางเดินลาดชัน สลับกับทางราบแต่รกเรื้อ ยิ่งเดินเข้าไปในป่าลึกยิ่งได้กลิ่นความชื้นของป่ายิ่งขึ้น
เราหยุดเดินพักบ่อยขึ้น เรี่ยวแรงเริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆ กระติกน้ำถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มของคนนำทางที่คุ้นหน้าคนหนึ่ง …เขาชื่อใหม่ เรียนรัฐศาสตร์ รามฯ ปี ๕ แล้วและยังไม่จบอีกเช่นกัน เคยไปดำน้ำที่ทะเลตรังด้วยกันตอนสงกรานต์ รูปร่างดีน่าจะสูงเกือบ ๑๘๐ หน้าตาดี แต่กะล่อน หูตาแพรวพราวไปนิดจนต้องระวังตัว

มาเดินป่ายังทาแป้งหน้าขาวเชียว เสียงแซวดังมาจากนายพรานใหญ่ ผมยาวหน้าแขก
เขาหน้าซีด จะเป็นลมพี่ …นายใหม่แย้งทันควันพร้อมกับเสียงหัวเราะดังครืน ทำเอาเรารับมุกไม่ทัน แต่ก็ขำไปกับพวกเขา
ส่งกระติกน้ำคืนเจ้าของเขา ก้มลงมาตามหยดเหงื่อของตนเองบนพื้น ตัวอะไรอ่ะ เราชี้ไปยังเจ้าตัวหนอนสีน้ำตาลเล็ก เหมือนปลิงแต่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เล็กๆ ส่ายหัวไปมา
ทาก ทาก ทั้งนั้น ชูคอกันสลอนเต็มไปหมด เป็นร้อยๆ เลย ขนาดเป็นไทยพุทธแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ยังต้องร้องหาพระเจ้า รู้สึกเย็นวาบไปทั่วกาย ตายแล้วเราจะโดนไอ้เจ้านี่เกาะดูดเลือดไปแล้วเท่าไรก็ไม่รู้ เราดิ้นเป็นเจ้าเข้า เมื่อถลกขากางเกงเจอตัวหนึ่งกำลังคลานดึบๆ อยู่ตรงข้อเท้า

 เรายืนปากสั่นอยู่กลางลำธาร เขาบอกว่า นับจากนี้เราต้องเดินผ่านดงทากไปอีกระยะหนึ่ง ถ้าจะยืนพักให้ยืนอยู่ในน้ำ เพราะทากอยู่ในป่าชื้นแต่ไม่อยู่ในน้ำเหมือนกับปลิง อย่าวางเป้ลงพื้น อย่านั่งพักตามขอนไม้ซี้ซั้ว เพราะเราจะไม่เจอแค่ทาก เท่านั้น ในป่ายังมีสัตว์ป่าน้อยใหญ่อีกหลาก หลายชนิด
เขาว่าคนเดินนำหน้าจะได้เปรียบเพราะทาก จะรับสัญญาณจากแรงสั่นสะเทือนจากการเดินของพวกเรา นับจากนั้นเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราตั้งหน้าตั้งตาเดินกันแบบไม่คิดชีวิต เดินไปสลับกับการสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายตัวเองไปด้วย เมื่อไรรู้สึกเย็นๆ วาบๆ ก็ยกขาขึ้นมาดู ถ้ามีเจ้าตัวดูดเลือดผู้น่ารักเกาะอยู่ เราก็จะกรี๊ดดังลั่นป่า จากนั้นก็จะมีชายหนุ่มคอยแกะทากให้ เป็นอย่างนี้ไปตลอดทาง… เฮ้อ
๘.)กลางคืน…และ กลางป่า

ถึงลานหินของน้ำตกตาดตาภู่ ทำสถิติใช้เวลาเดินทาง ๔ ชั่วโมงครึ่ง เกินความคาดหมายของบรรดาคนเดินนำทางเพราะกลัวทากกันจนลืมตาย ความเหนื่อยนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย พอปลดเป้ลงจากบ่าถึงได้รู้ว่า ไหล่ตัวเองบวมแดงขนาดหนัก ขาเจ้ากรรมดูเหมือนจะหมดแรงไปดื้อๆ ซะงั้น

เห็นพวกคนนำทางพากันทยอยไปล้างเนื้อตัวตรงธารน้ำตกเบื้องหน้า น้ำสีขาวไหลเชี่ยวกรากผ่านลานหินกว้างเสียงดังกังวานไปทั้งป่า บางคนนั่งแกะทากออกจากนิ้วเท้าเอามาคลึงเล่นเหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารัก ก่อนปาหวือลงไปในน้ำเชี่ยว เห็นเลือดกระจายเต็มถุงเท้าของบางคน บางคนเดินเลือดโชกเต็มขา ดูเหมือนว่าไม่มีใครยี่หระกับเจ้าตัวทากเลยแม้แต่น้อย
เราลุกขึ้นมาสำรวจเนื้อตัว แข้งขาของตัวเองเป็นครั้งที่ล้านเจ็ด และยิ้มอย่างพอใจเมื่อรู้แน่แล้วว่าเราไม่ได้เสียเลือดเนื้อให้กับทากตัวไหนเลย ทั้งๆ ที่โดนเกาะนับไม่ถ้วน แต่คนแกะทากออกจากขาให้เรานี่สิเล่นป่าวประกาศไปทั่วว่า แค่เดินตามแกะทากให้เราก็เหนื่อยยิ่งกว่าแบกเป้เพิ่มอีก โธ่..! แค่นี้ทำเป็นบ่น

เล่นน้ำตกกันจนหายเหนื่อยกลายเป็นหิว ตอนกลางวันระหว่างเดินทางเขาแจกข้าวเหนียวหมูทอดคนละห่อใหญ่ แต่ตอนนี้ถูกย่อยไปจนหมดเกลี้ยงท้องแล้ว ในป่ามืดเร็วกว่าที่เราคาด กว่าจะเปลี่ยนเครื่องทรงกันได้ทุกอย่างรอบกายก็มืดตึ๊ดตื๋อ
พวกเขาจุดตะเกียงแก๊สกระจายรอบบริเวณที่พัก ๓ จุด มีไฟกองใหญ่ลุกโชนอยู่ตรงกลาง เห็นพวกนั้นนั่งล้อมวงกันรอบกองไฟ พวกเรานั่งดินเนอร์กันอยู่ในผ้าใบปูพื้นใต้แสงตะเกียงแก๊ส ห่างจากกองไฟออกมา ด้วยความหิวเลยไม่ทันสงสัยว่าข้าวสวยนุ่มลิ้น กับอาหารเมนูธรรมดารสชาติดีพวกนี้มาจากไหน

หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อนตามระเบียบค่ะ เอาผ้าใบมาปูตรงโขดหิน เอาถุงนอนออกมานั่งพิงเอกเขนก มองดูดาวบนท้องฟ้า ได้ยินเสียงน้ำไหลกลบเสียงป่าเขาในยามกลางคืน พวกเราบางคนเข้าไปนั่งสมทบกับพวกคนนำทางรอบกองไฟ แต่เรากับเพื่อนอีก ๒ คนขอสมัครใจปลีกวิเวกมานั่งชมธรรมชาติยามกลางคืนดีกว่า

มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเรา เขามานั่งลงข้างเราจนเรารู้สึกว่ามันใกล้เกินไปหรือเปล่า แต่เราก็ไม่กล้าขยับหนีไปไหนเพียงแค่เปลี่ยนจากท่านอนเอกเขนกมาเป็นนั่งตัวตรงแหนวแทน …..
พวกเราเรียกเขาว่าลุงตุ๊ก เขาไม่ได้มีอายุขนาดเป็นลุงได้ แต่พวกเราเรียกเขาตามคนอื่น เป็นอดีตเด็กค่ายในรามคำแหง เรียนจบแล้ว ทำงานกับพวก เอ็นจีโอ ทางเหนือ เขาชอบเล่นกีตาร์ และร้องเพลงในแนวคำเมือง ได้กลิ่นอายของเมืองเหนือทั้งสำเนียงร้อง และดนตรี จำได้ว่าช่วงสุดท้ายของการเดินทางเมื่อตอนกลางวัน เขามาช่วยแบกเป้ให้เราได้เดินตัวเปล่า ยังรู้สึกดีกับเขาแต่ไม่น่าใช่ตอนนี้

เขามาชวนเราไปรอดูสัตว์ป่าออกมากินน้ำกันไหม เอ..ชักจะยังไง เราปฏิเสธไปแล้วตั้งหลายครั้งเขาก็ยังไม่เลิก เพื่อนเราเห็นท่าไม่ดีก็เลยเอาตัวใหญ่ๆ อวบๆ ขาวๆ เบียดเข้ามาแทรกพร้อมกับทำเสียงขุ่นเขาถึงยอมล่าถอยไป

รู้สึกหมดสนุก ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ที่มีเมื่อครู่อันตรธานหายไปหมด ล้มตัวลงนอนหลับตานิ่ง สักพักใหญ่ ได้ยินเสียงกีตาร์ดังแผ่วเข้ามา เสียงร้องคลอเบาๆ จนเราต้องเงี่ยหูฟังว่า เขาร้องเพลงอะไร เราไม่รู้จักแต่เรารู้สึกว่าเพลงเพราะเหลือเกิน
นอนฟังเพลงไปสักพัก เริ่มจับทิศทางของเสียงได้ อยู่ตรงมุมมืดไม่ไกลจากที่เรานอนเท่าไร เงาตะคุ่มของคนกับกีตาร์ เมื่อเราเริ่มคุ้นกับความมืด เราจึงมองเห็นหมวกไอ้โม่งของคนใส่ ใช่แล้ว เด็กหนุ่มหน้าแขกคนนั้นเอง หน้าตาคล้ายพวกโจรพูโล มากกว่าเป็นทหาร น่ากลัวจนเราต้องรีบเดินไปห่างๆ เวลาเขาเดินอยู่ใกล้ๆ เงียบๆ เฮ้อ… ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกอีกแล้วเรา..

ความเดิมตอนที่แล้ว ……. 
เรื่องเล่าของดาวสีแดง … (๓)

 


ปิดการแสดงความเห็น