หมายเหตุ: ในร่องรอยแห่งเถื่อนทางพงไพรเก่าแกที่ผ่านเลย มีผู้คนบันทึกริ้วรอยเล็กๆ เกี่ยวกับ“รักษ์เขาใหญ่” ด้วยมุมมองหนึ่ง(๒๓ บท) ที่งามง่ายและกรุ่นหวานไปด้วยรสประทับใจ ทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตาให้เราได้ชิมลิ้มลอง นี้เป็นภาพต่อเล็กๆ ของเราที่จะแบ่งปันผู้อื่นให้ร่วมรู้รสชาติแห่งอุปสรรคและเยื่อใยอาทรที่ผูกร้อยกันไว้กระชับมั่นแม้จะเลือนรางและร้างราด้วยวันวารอันผ่านเลย เธอมีนามว่า “ดาวสีแดง” ขอเชิญท่านทัศนา….
๑.)ใครหรือคือ … ขบถ
ขบถในยุคก่อนไม่ต่างจากคนคิดนอกกรอบของยุคนี้ ในแง่ของการเป็นความหวังของสังคม ทุกวันนี้คำว่า ขบถ อาจดูล้าสมัยไปแล้ว บางครั้งวัยรุ่นยุคนี้อาจสงสัยว่า การเป็นขบถคือ เป็นอะไร และอย่างไร….
ในภาวะที่โลกหมุนเร็วขึ้น ข้อมูลข่าวสารถูกส่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้รวดเร็ว ไม่เกี่ยงในเรื่องระยะทาง การคิดต่าง การกระทำอะไรแปลกแยก กลายเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล คนรุ่นใหม่ที่มีลักษณะเป็นปัจเจก กลายเป็นบุคคลที่น่าสนใจ บางคนเรียกว่าเป็นคนของยุคโพสต์โมเดิร์น บ้างว่าคนประเภทนี้จะสามารถเอาตัวเองรอดได้จากกระแสอันเชี่ยวกรากของโลกาภิวัตน์
….ในยุคของบุปผาชน คนหนุ่มสาวที่คิดใหม่ทำใหม่ในสมัยนั้นถูกสังคมมองและเรียกว่า ขบถ เพราะยุคสมัย และวิถีชีวิตต้องอยู่ภายใต้กรอบธรรมเนียม ประเพณีอันเคร่งครัด พวกคิดนอกกรอบในนามของขบถเมื่อ ๓๐ ปีก่อน ต้องต่อสู้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความคิดที่แตกต่างนั้นให้กล้าแข็งขึ้นด้วยตัวของตัวเอง
…. ผิดกับคนคิดนอกกรอบในยุคนี้ที่สังคมพร้อมให้การผ่อนปรนและสนับสนุน ขอเพียงแค่ให้รู้จักรู้ทันชีวิต มีความคิดสวนกระแสหลักบ้างในบางเรื่อง บางอย่าง ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งๆ หมดไปกับการอัพเดทเทรนด์ใหม่ เพื่อจะได้เป็นคนอินเทรนด์เพียงแค่ฉาบฉวย ความเสียเปรียบของคนคิดนอกกรอบในยุคนี้กับยุคก่อนคือ ความหลากหลายของวัฒนธรรมต่างๆ ที่เข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้บางครั้งพวกเขาถูกกระแสพัดพาไปเร็วจนไม่ทันได้ศึกษาถึงแก่นของสรรพสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาได้อย่างลึกซึ้ง ได้สัมผัสเพียงแค่เปลือกแล้วก็ผ่านไป ก็เลยยังไม่ทันได้เปรียบเทียบผลดีร้ายของสิ่งที่เห็น
….ไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือโชคดีที่เกิดมาในช่วงรอยต่อของคนสองรุ่นนี้ ซึ่งทำได้แค่เพียงติดตามวีรกรรมของขบถรุ่นก่อนด้วยความนับถือและชื่นชม พร้อมๆ กับการมองดูความเป็นไปของคนคิดนอกกรอบรุ่นนี้ด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าที่คิดนอกกรอบอยู่ในตอนนี้ ยังมีกรอบไหนอื่นครอบอยู่อีกชั้นหรือเปล่า …..
๒.)เสียงเพรียกจากเดือนตุลา
เริ่มต้นเดือนตุลาคม สายฝนเดือนตุลาคมปีนี้ฉ่ำฟ้าด้วย อิทธิพลของพายุ ชื่อ ช้างสาร แต่ บรรยากาศเดือนตุลาปีนั้นคล้ายๆ กับได้กลิ่นของลมหนาวจางๆ แล้ว
….ใกล้สอบเทอมแรก หลายวิชาปิดคอร์สไปแล้ว ได้มีเวลาไปเตร็ดเตร่ยัง ราม ๑ รู้สึกเหมือนกับตัวเองตัวเท่ามดเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในรั้วบริเวณ
….ได้ยินเสียงโทรโข่งดังมาจากฟากหนึ่งของสระน้ำหน้าลานพ่อขุน หลังจากเดินเคว้งคว้างอยู่สักพัก จึงตัดสินใจเดินไปตามเสียงนั้น
….มีการจัดนิทรรศการเดือนตุลาของชมรมในมหาวิทยาลัย เรียงรายจากริมสระน้ำด้านหนึ่งไปจนอีกด้านหนึ่ง ภาพการทารุณนักศึกษาบางภาพสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป ถูกขยายใหญ่ติดเอาไว้บนบอร์ดภาพแล้วภาพเล่า …ด้วยภาพถ่ายขาวดำ คล้ายๆ กับตัดมาจากหนังสือ พิมพ์ ทำให้ภาพเหล่านั้นเป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติไทยอีกด้านหนึ่ง ที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน
….ได้ยินเสียงสะอื้นมาจากข้างในอกของตัวเอง ประสาททุกส่วนในร่างกายเหมือนถูกกดทับด้วยภาพเหล่านั้น เสียงบรรยายด้วยบทกวีถูกนักศึกษารุ่นเก๋า(ดูจากหน้าตาแล้วคงเรียนมาแล้วหลายปี)อ่านบทแล้วบทเล่า เนื้อหาเต็มไปด้วยความคับแค้น แน่นหนัก น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลออกมาไม่หยุดหย่อน เกิดอะไรขึ้นกับเราหรือ นี่หรือประเทศไทยอันสวยงามของเรา เป็นไปได้อย่างไรกัน
….ความมืดสลัวของอากาศยามพลบค่ำ ดึงตัวเองออกมาจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้จักเหล่านั้น เดินซับน้ำตาออกมาจากนิทรรศการ นั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยความรู้สึกว่างโหวง ขนทุกเส้นในร่างกายยังคงลุกเกรียวอยู่อย่างนั้น….
( เรื่องเล่าของ … “ดาวสีแดง” ตอนที่ ๑ )