เช้าวันเด็ก เช้าขนาดที่เด็กตัวจริงก็ยังไม่ตื่นนอน เด็กไม่จริง(วัยรุ่นท้างน้าน..) มารวมตัวกันที่เกาะแก้ว บ้านป๋าหน่อง ล้วนเป็นนักเรียนโรงเรียนปากช่อง มีรุ่นพี่ชั้น ม.๖ หน้าเดิมที่ไม่ยอมเข็ดฤทธิ์ป่า น้อง ม. ๕ หน้าใส แถมพกด้วยน้องเล็ก ม.๑ อีกสามคน รวมเหล่าพี่เลี้ยง(ตามวัยพอจะเป็นลุงเลี้ยง) ได้สามสิบกว่าคน นัดกันฉลองวันเด็กที่ผาด่านช้าง…อีกแล้ว…
ความน่าสนใจของการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่ความไม่ชัดเจนว่าเราจะขึ้นไปทำไม ถามพี่พี่ก็ตอบอ้ำอึ้ง ไม่ได้อมพะนำหรอกแต่บอกไม่ถูกจริงๆ ถามน้องน้องก็บอกว่ามาตามรุ่นพี่ เอาละสิทีนี้ ถ้าปล่อยเดาไปต่างๆ นานา ก็เป็นไปได้ที่จะเป็นการปัจฉิมนิเทศรุ่นพี่ๆ หรือรับน้อง หรือเลือกประธานใหม่ หรืออะไรก็ช่างมัน เพราะเราเหล่าพี่เลี้ยง คุ้นเคยกับความไม่ชัดเจนดี ไม่อย่างนั้นจะยอมไปตามหาเครื่องบินตกโดยไม่มีข้อมูลและเครื่องมืออื่นช่วยเลย มีแต่อาจารย์ขมังเวทย์นำทางได้อย่างไร
เส้นทางที่เป็นที่รู้กันคงไม่ต้องบรรยายสภาพ ความเปลี่ยนแปลงคงไปตามฤดูกาล ป่าดิบก็ยังเขียวร่มเย็นแต่ป่าโปร่งเปลี่ยนสีเป็นเหลืองแล้ง พื้นดินปูด้วยใบไม้แห้ง ดีที่อากาศไม่ร้อน มีลมโชยพัดเบาๆ เอากลิ่นดินแห้งผสานกลิ่นใบไม้แห้ง นานๆ ครั้งจะมีกลิ่นดอกไม้ป่าที่หาตัวไม่เจอเจือมาด้วย ในหน้าแล้งนี้ สูดหายใจในบริเวณที่มีต้นไม้ทิ้งใบเรามักได้กลิ่นหอมใบไม้แห้งซึ่งที่มาของกลิ่นส่วนใหญ่คือต่อมน้ำมันหอมระเหยที่เป็นต่อมเล็กๆ อยู่ที่ใบไม้ ถ้าอยากรู้จักให้สังเกตจากใบพืชตระกูลส้ม เช่นมะนาว มะกรูด ลองเอาใบมายกส่องแสงสว่างดูจะเห็นจุดใสเล็กๆ กระจายเต็มไปหมด นอกจากนี้ใบมะม่วงหรือพวกไทรก็พอเห็นได้ พืชอื่นๆ ก็มี แต่อาจเห็นไม่ชัด เมื่อมีใบไม้แห้งมากมายในบริเวณนั้นโดยเฉพาะยามร้อนแสงแดดเผาน้ำมันระเหยออกมาอีก จึงกระจายกลิ่นออกมา
แม้เส้นทางจะแห้งดูร้อนแล้ง แต่พี่เลี้ยงก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ จากลานหินมะค่ายังมีกะใจพาเดินรับน้องอีกเกือบสองชั่วโมง ลำบากพี่ที่โดนรับแล้วยังต้องไปอีกครั้ง ก็ใครให้มันพาน้องมา ถึงที่พักตอนบ่ายแก่ๆ ก็ตั้งแค้มป์ หุงหาอาหารโดยคณะแม่ครัวนกกระจอกตามเคย น้ำในห้วยไหลรินช้าๆ ให้เพิ่มความพิถีพิถันในการตักน้ำดื่มน้ำกิน แบ่งเขตการใช้น้ำให้ดี
ที่พลาดไม่ได้คือกิจกรรมริมหน้าผาช่วงเย็น ขณะรอดูนกเงือก พี่อ๋อพาน้องๆ ทำกิจกรรมต่างๆ เป็นที่สนุกสนานเฮฮา แต่ก็ยังไม่เห็นนกเงือกแม้แต่เงา พอโพล้เพล้แสงสุดท้ายกำลังเลือนลาง เสียงคนซาลง กิจกรรมเริ่มลดน้อยตามแสงสว่าง นกเงือกคู่แรกก็บินออกจากต้นไม้ให้เราเห็น ตามด้วยคู่ที่สอง สาม … เป็นสิบ เป็นยี่สิบตัว แม้แสงสว่างลดทอนลงแต่ทุกคนยังคงเห็นสีสดใสของมันได้ ต้นไม้ที่นกบินออกไปคือต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้หน้าผาเรานี่เอง เราไม่เห็นมันบินเข้ามา นั่นหมายความว่า มันอยู่ตรงนั้นก่อนเรามา มันบินไปที่ต้นไกลออกไปตามแนวเทือกเขา จึงอดคิดไม่ได้ว่าครั้งนี้นกเงือกขอดูคนแสดงที่ริมผาบ้าง จากที่เราดูมันทุกที และมันก็ดูอย่างเงียบๆ ไม่ให้เรารู้ตัว ก่อนจะบินกลับเมื่อฟ้าพลบ
พี่เลี้ยงจากแดนใต้มีเพิ่มมาเป็นสองคนคือพี่นิมและพี่หงส์ เป็นสองคนที่ภูมิใจนำเสนอน้ำพริกและเครื่องเผ็ดทั้งหลายประเคนเจ้าสำนักหน่อง ส่วนคนอื่นต้องอาศัยกับข้าวสาวนกกระจอกกัน(เผ็ด)ตาย จบมื้อแม้แต่เจ้าสำนักยังเอ่ยปาก “เผ็ด…!” พี่เลี้ยงเป้จึงคิดพารุ่นพี่คิงกับรุ่นพี่สักทองไปหาประสบการณ์จับอ๋องมาแกล้มทั้งเหล้าทั้งน้ำพริก ยิ่งน้ำห้วยไหลเบาๆ ยิ่งได้ยินเสียงร้อง “อ๋อง ๆ” ชัดเจน พอปรึกษากับพี่เลี้ยงอื่นๆ หลายคนส่ายหน้า “ไปทำมันทำไม เป็นบาปเป็นกรรม อย่าทำเผ็ดเด้อ..!”
วงสนทนารอบกองไฟเข้มข้นดี โดยมีพี่เลี้ยงยุ้ยเห็นด้วยเป็นระยะ ๆ “เออ..ก..ก. แฮ่..ก..ก..” ถ้าไม่เห็นด้วยมันก็ส่งอีกเสียงออกมาพร้อมกลิ่นไม่น่าพิสมัยนัก จบการสนทนาพี่อ๋อแบ่งเวรยามน่าคิดยิ่งนัก น้องๆ คละพี่ๆ เวรสุดท้ายเข้านอนตอนตีสาม? แล้วใครอยู่ต่อหว่า? อยากรู้อ่านย่อหน้าต่อไป…
คืนนี้เป็นอีกครั้งที่ได้ฟังเพลงเพราะๆ มีพี่เลี้ยงเป้มาขับกล่อมช่วงหัวค่ำ เผาหัว ตามด้วยเสียงจริงในพงไพร เด็กรุ่นน้องนอนในเต๊นท์เรียบร้อย เด็กรุ่นพี่เริ่มมีพัฒนาการนอนใต้ฟลายชีต นั่งฟังเพลงได้นานขึ้น คงเพราะคุ้นเคยแล้ว เพลงชีวิต ป่าและธรรมชาตินั้นซึมซาบเข้าไปในคนได้เสมอและไม่รู้ตัว สงสารแต่รุ่นพี่คิงต้องอดนอน เพราะที่นอนว่างตรงข้างพี่เลี้ยงยุ้ย ขนาบด้วยเปลพี่เลี้ยงเก่ง หลบทางไหนก็โดน ยังไม่ชิน เลยต้องลุกมาอยู่เวรถึงเช้า …ไม่เป็นไรน้องคิงคืนนี้ได้ตะครุบอ๋องแล้วยังได้อยู่เวรถึงเช้า เว่วขึ้นเพียบ (level up อีก ๑๐๐ คะแนน จาก สามหมื่นล้านคะแนน)
สายๆ แต่แสงแดดไม่แน่นอน เพราะเมฆ เด็กน้อยเล่นน้ำสนุกสนาน เอาเทาเขียวๆ มาปากันตาม
ประสา อย่างเขาว่าเด็กๆ ทำอะไรก็..อี๋..พวกพี่เลี้ยงไปรวมตัวที่ริมหน้าผาอีกครั้ง เล่นน้ำที่อ่างชมวิว(เอวาซอง) ได้เยือนหน้าผายามสายๆ เห็นอะไรชัดเจน นั่งตั้งวงเล็กๆ เพราะเหล้าเหลือกั๊กเดียว ดีที่พี่เก่งมันกั๊กไว้ กินลมชมวิว มะค่าออกฝักเต็มต้นแต่ยังไม่หล่นเพราะยังสดอยู่ งิ้วขาวติดดอกเต็มต้น ที่เห็นแล้วต้องตื่นเต้นคือ เอื้องน้ำต้นกอใหญ่อยู่ใกล้ริมผา สีม่วงอ่อนๆ ไล่โทนไปหาสีชมพู ส้มจางๆ ดูเด่นละมุนตาท่ามกลางพื้นแห้ง
อาหารมื้อก่อนกลับเป็นการใช้เสบียงอย่างสนุกมือของแม่ครัวรุ่นพี่และรุ่นน้องผลัดกันอวดฝีมือ นอกจากพี่ๆ นกกระจอกแล้ว ยังมีน้องไนซ์ที่ทำอะไรกินก็น่ารัก น้องแพรวที่ทำมะเขือผัดพริกแกงอร่อย(ที่ว่าอร่อยเพราะกินไม่ทัน มันหมดเร็วจัง) ดีมากๆ ที่มื้อนี้เลี่ยงอาหารเผ็ดได้ นั่นก็พอแล้ว
ก่อนกลับเมื่อเก็บปางพัก จัดสัมภาระขึ้นหลังแล้ว พี่เลี้ยงเก่งก็นำพิธีอำลากองไฟเช่นเคย พี่เก่งมันทำเป็นจริงเป็นจังขึ้นทุกที วงใหญ่ๆ อย่างนี้เลอะเทอะซะไม่มี และเมื่อเดินพ้นแค้มป์เท่านั้นเองฝนก็ตกมาอีก อีกแล้ว เป็นครั้งที่สามแล้วเท่าที่นับได้ ตกหนักจริง
เปียกจริงไม่มีตัวแสดงแทน หรือพิธีพี่เก่งมันศักดิ์สิทธิ์จริง?
๑๙ ม.ค. ‘๕๕
เด้าลมหลังอาน
หมายเหตุ : เทา-สาหร่ายน้ำจืดเส้นละเอียดคล้ายเส้นผมสีเขียว ถินเหนือเรียก”ผักไก”
ดีนะที่พี่อุ๊ไม่เอาเพลงนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเหลียวมองพระจันทร์ไปลงในข้อความด้วย 55555555
สักทองฝากมาบอกว่าลืมลง “นะพี่นะ” ของมันได้ไง
รีบเขียนไปหน่อยน่ะครับพ่อแม่พี่น้อง นอกจากเรื่อง “..กินก๋วยเตี๋ยวเหลียวมองจันทร์” แล้วยังอีกหลายเรื่องเช่น “สัตว์ป่าพันธุ์ใหม่ ลูกอ๊อดเผือก” หรือเรื่อง “บันทึกการเดินทางของพี่มอหก” เอาไว้คราวหน้าจะทำการบ้านให้ดีกว่านี้ครับ